บลจ.บีทีโชว์ผลงาน 4 กองทุนหุ้น ให้ผลตอบแทนเหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เผยกลยุทธ์บริหารพอร์ต เน้นลงทุนกลุ่มพลังงาน และแบงก์ เป็นหลัก พร้อมดูแลพอร์ตอย่างใกล้ชิดทุกสัปดาห์ หวั่นผลกระทบปัญหาทางการเมืองในประเทศและสถาบันการเงินทั่วโลก
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศด้วย ทำให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้กองทุนหุ้นที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนต่างให้ความใกล้ชิดกับกองทุนเป็นอย่างมากโดยการเข้ามาดูแลพอร์ตและปรับพอร์ตกันทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้กองทุนหุ้นที่บริหารอยู่นั้นให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ด้วย
ทั้งนี้ หุ้นที่บริษัทเข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นเซกเตอร์ของกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เป็นหลัก เนื่องจากว่าสองกลุ่มดังกล่าวยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ส่วนกลุ่มส่งออกนั้นในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปลงทุน เพราะกลุ่มดังกล่าวยังมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจอยู่
สำหรับกองทุนหุ้นของบริษัทที่บริหารจัดการอยู่นั้นมีทั้งสิ้น 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิด บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาว กองทุนเปิดบีทีไลฟ์ หุ้นระยะยาว กองทุนเปิดบีไลฟ์ 70 หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และ กองทุนเปิดหุ้น ทาร์เก็ต 15/1 โดยสิ้นสุด ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีกองทุนต่างให้ผลตอบแทนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานนั้นให้ผลติดลบอยู่ที่ 50.50% นอกจากนี้แล้วทั้ง 4 กองทุนจะใช้เกณฑ์มาตรฐานชี้วัดผลตอบแทนอันเดียวกัน
สำหรับ กองทุนเปิด บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาวหุ้น มีมูลค่าหน่วยลงทุน 7.16 บาทต่อหน่วย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -37.21% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน -50.50% ย้อนหลัง 3 เดือน -34.50% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -35.08% ย้อนหลัง 6 เดือน -39.31% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -46.28% และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -35.97% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -49.07% โดยกองทุนเข้าเริ่มจดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2548
ส่วนกองทุนเปิด บีที ไลฟ์ หุ้นระยะยาว มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.42 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -42.51% ย้อนหลัง 3 เดือน -36.77% ย้อนหลัง 6 เดือน -43.20% และย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนที่ -40.97% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548
ขณะที่กองทุนเปิดบีไลฟ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.11 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -40.12% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -33.96% ย้อนหลัง 6 เดือน -41.00% และย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนที่ -38.74% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549
และกองทุนเปิด บีที หุ้น ทาร์เก็ต 15/1 มีมูลค่าหน่วยลงทุน 5.85 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -35.39% ย้อนหลัง 6 เดือน -40.61% และผลตอบแทนย้อหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -41.40% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -48.97% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2551
นอกจากนี้ สัดส่วนการลงทุนทั้ง 4 กองทุนนั้น ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน 2551 กองทุนเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย หุ้นสามัญของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงานและสาธารณุปโภค กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ และกลุ่มขนส่งโลจิสติกส์
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาทางการเมืองในประเทศด้วย ทำให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้กองทุนหุ้นที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาผู้จัดการกองทุนต่างให้ความใกล้ชิดกับกองทุนเป็นอย่างมากโดยการเข้ามาดูแลพอร์ตและปรับพอร์ตกันทุก ๆ สัปดาห์ เพื่อให้กองทุนหุ้นที่บริหารอยู่นั้นให้ได้ผลตอบแทนที่เหนือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ด้วย
ทั้งนี้ หุ้นที่บริษัทเข้าไปลงทุน ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นเซกเตอร์ของกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เป็นหลัก เนื่องจากว่าสองกลุ่มดังกล่าวยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ส่วนกลุ่มส่งออกนั้นในขณะนี้ยังไม่ได้เข้าไปลงทุน เพราะกลุ่มดังกล่าวยังมีผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจอยู่
สำหรับกองทุนหุ้นของบริษัทที่บริหารจัดการอยู่นั้นมีทั้งสิ้น 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิด บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาว กองทุนเปิดบีทีไลฟ์ หุ้นระยะยาว กองทุนเปิดบีไลฟ์ 70 หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และ กองทุนเปิดหุ้น ทาร์เก็ต 15/1 โดยสิ้นสุด ณ วันที่ 12 ธันวาคม 2551 ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีกองทุนต่างให้ผลตอบแทนสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานนั้นให้ผลติดลบอยู่ที่ 50.50% นอกจากนี้แล้วทั้ง 4 กองทุนจะใช้เกณฑ์มาตรฐานชี้วัดผลตอบแทนอันเดียวกัน
สำหรับ กองทุนเปิด บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาวหุ้น มีมูลค่าหน่วยลงทุน 7.16 บาทต่อหน่วย ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -37.21% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน -50.50% ย้อนหลัง 3 เดือน -34.50% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -35.08% ย้อนหลัง 6 เดือน -39.31% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -46.28% และผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ -35.97% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -49.07% โดยกองทุนเข้าเริ่มจดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2548
ส่วนกองทุนเปิด บีที ไลฟ์ หุ้นระยะยาว มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.42 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -42.51% ย้อนหลัง 3 เดือน -36.77% ย้อนหลัง 6 เดือน -43.20% และย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนที่ -40.97% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548
ขณะที่กองทุนเปิดบีไลฟ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ มีมูลค่าหน่วยลงทุน 6.11 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ -40.12% ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -33.96% ย้อนหลัง 6 เดือน -41.00% และย้อนหลัง 1 ปีให้ผลตอบแทนที่ -38.74% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549
และกองทุนเปิด บีที หุ้น ทาร์เก็ต 15/1 มีมูลค่าหน่วยลงทุน 5.85 บาทต่อหน่วย ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ -35.39% ย้อนหลัง 6 เดือน -40.61% และผลตอบแทนย้อหลังตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ -41.40% เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ -48.97% โดยกองทุนจดทะเบียนกองทุนเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2551
นอกจากนี้ สัดส่วนการลงทุนทั้ง 4 กองทุนนั้น ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน 2551 กองทุนเข้าไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรกประกอบด้วย หุ้นสามัญของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารกรุงศรีอยุธยา ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงานและสาธารณุปโภค กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ และกลุ่มขนส่งโลจิสติกส์