กองทุนรวม แห้วสิทธิ์คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเหมือน กบข.-สปส. หลังพ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ด้านนายกสมาคมบลจ.เตรียมร้องแบงก์ชาติ ชี้ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันกับทั้งสองกองทุนที่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว แต่ด้านกระทรวงการคลังระบุ กองทุนรวมเป็นการหาประโยชน์ทางธุรกิจ ขณะที่องค์กรและมูลนิธิต่างๆ ต้องมีการพิจารณาจากคณะกรรมการอีกครั้ง พร้อมการันตีคืนเงินฝากได้ตามจำนวนที่ตั้งไว้ หลังประชาชนกว่า 39% หวั่นเกิดข้อผิดพลาดสูญเงินฝากจากเดิมที่รัฐบาลให้การคุ้มครอง
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์และพัฒนาระบบการเงินสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวว่า พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่กำลังจะมีการประกาศใช้ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 จะครอบคลุมถึง กองทุนรวม และมูลธิต่างๆ ซึ่งจะได้รับความคุ้มครองเทียบเท่ากับบัญชีของประชาชนทั่วไป คือ ในปีแรกจะคุ้มครองเต็มจำนวน และลดลงตามลำดับ จนถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2556 จะได้รับการคุ้มครองบัญชีและ 1 ล้านบาทเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้จะไม่มีผลบังคับใช้ในส่วนของ เงินฝากสำหรับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) และกองทุนประกันสังคม(สปส.) ซึ่งยังคงได้รับความคุ้มครองเต็มจำนวนเท่าเดิม
“เงินฝากของกองทุนรวมคงไม่ได้เต็มจำนวน เพราะมันเป็นการหาประโยชน์ แต่สำหรับมูลนิธิที่ไม่ต้องการแสวงหาประโยชน์ คงต้องยื่นเรื่องให้คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝากพิจารณาอีกครั้ง และในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอกชนก็เช่นกัน โดยคณะกรรมการจะยึดหลักความถูกต้อง และจำเป็นในการดูแลเรื่องเหล่านี้”นายโชติชัยกล่าว
นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บลจ.บัวหลวง ในฐานนะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ทางสมาคมคงจะทำเรื่องเสนอขอไปกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เพื่อที่จะขอคุ้มครองเงินฝากในส่วนของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นเดียวกับที่ทางกบข.และประกันสังคมได้ เพราะควรจะใช้มาตรฐานเดียวกัน ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็น 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้น ถ้ากองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ได้ กบข.และประกันสังคมก็ไม่ควรได้เช่นเดียวกัน คือแนวทางที่สุดแล้วควรจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ใช้มาตรฐานเดียวกัน
ขณะที่ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การที่ไม่ได้คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเช่นเดียวกับ กบข. และกองทุนประกันสังคม จากพ.ร.บ.ฉบับนี้คงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากที่ผ่านมากองทุนรวมของบริษัทจะเน้นการลงทุน และคงเหลือเงินฝากไว้กับธนาคารไม่มากนัก เพื่อรักษาสภาพคล่อง นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของกองทุนรวมยังน้อยกว่าประชาชนทั่วไปคือ 0.5% แต่ประชาชนทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.75%
ด้านนายพิศาล มโนลีหกุล ประธานกรรมการ บจก. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยผลการสำรวจของบริษัทด้านความเห็นของประชาชนที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านบาทขึ้นไปต่อ พ.ร.บ. ฉบับนี้ พบว่า ประชาชนแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ เห็นด้วย 39% ไม่เห็นด้วย 61% และเป็นกลาง 16% โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย 39% ให้เหตุผลว่า เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมที่จะลดการให้ความคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียง 1 ล้านบาท จากเดิมที่ให้ความคุ้มครองเต็มจำนวน อีกทั้งช่วงเวลาที่ให้ประชาชนทำความเข้าใจในพ.ร.บ.ฉบับนี้ยังน้อยเกินไป
นอกจากนี้ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยยังเกรงว่า หากมีความจำเป็นที่สถาบันการเงินต้องมีการยุติกิจการแล้ว ทางสถาบันฯ จะไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ตามวงเงินที่กำหนดไว้ครบทุกบัญชีของสถาบันการเงินที่มีปัญหา
โดย นายโชติชัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การบริหารงานของ สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนจาก ธนาคารพาณิชย์ 14 แห่ง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 5 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเออร์อีก 3 แห่งในอัตราขั้นต่ำประมาณ 1% หรืออาจจะจัดเก็บในอัตราเทียบเท่ากับกองทุนฟื้นฟูคือ 0.4% โดยจะต้องไม่ให้เป็นภาระของสถาบันการเงินมากเกินไป และจะขึ้นอยู่กับทางคณะกรรมการสถาบันว่าจะตัดสินใจอย่างไรอีกครั้งหนึ่ง
“มีความเป็นไปได้ที่จะเก็บในอัตรา 1% แต่ต้องดูอีกครั้งไม่ให้เป็นภาระมากเกินไป ซึ่งอาจจะอยู่ที่ 4%เท่ากับกองทุนฟื้นฟูก็ได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับคณะกรรมการด้วย โดยจะมีบุคคคลที่มาร่วมพิจารณาทั้ง นักวิชาการด้านเศรษฐกิจ ตัวแทนจากกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติ”นายโชติชัยกล่าว
สำหรับการบริหารเงินกองทุนจะเน้นนโยบายด้านความมั่นคง ซึ่งจะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเช่น พันธบัตรรัฐบาลเป็นต้น โดยจะทำให้กองทุนมีความเข้มแข็ง และสามารถจ่ายเงินให้แก่ประชาชนได้ในกรณีที่สถาบันการเงินมีปัญญหาเกิดขึ้น