xs
xsm
sm
md
lg

ยูโอบีฉวยโอกาสซับไพรม์ส่อเค้าจบ ลุยลงทุนหุ้นสถาบันการเงินสหรัฐ-ยุโรป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวนา พูลผล
บลจ.ยูโอบีฉวยโอกาสออกกองทุน "ยูโอบี สมาร์ท ไฟเนียลเชียล ออพพอร์จูนนิตี้" อายุโครงการ 5 ปี เน้นลงทุนในหุ้นสถาบันการเงินในสหรัฐฯและทวีปยุโรป หลังจากปัญหาซับไพรม์มีท่าว่าจะจบลงเปิดไอพีโอ 7 – 14 ก.ค.นี้ พร้อมชี้ภาพรวมอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลังจะเติบโต 20% และรวมทั้งปีจะเติบโตประมาณ 10%

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจกองทุนรวมในช่วงครึ่งปีแรกจะเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยมองภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งปีนี้จะเติบโตประมาณ 10% ขณะที่ครึ่งปีหลังจะเติบโต 20% จากครึ่งปีแรกที่ชะลอตัว เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นจะมีการปรับเพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งจะมีการปรับขึ้นมาเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อทีอยู่ในระดับสูง จะทำให้นักลงทุนโยกย้ายเงินมาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น รวมทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมนี้

ส่วนแนวโน้มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4% ภายใต้ราคาน้ำมันที่ยังกดดันทำให้ภาวะเงินเฟ้อสูง และคาดว่าในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะถึงจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยอาร์พี) ในอัตรา 0.25% และจะทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% มากกว่าการที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ไปเพียงครั้งเดียว เพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อที่ปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 10 ปี

สำหรับปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) คาดว่าใกล้จะสิ้นสุดในช่วงครึ่งปีหลัง 2551 โดยที่ผ่านมาปัญหาซับไพรม์ได้กระทบต่อตลาดในวงกว้าง ไม่ใช่ส่งผลกระทบเพียงตลาดสหรัฐฯเท่านั้น ทำให้สถาบันการเงินส่วนใหญ่ต้องมีการตั้งกองทุนสำรองขึ้นมา และในช่วงดังกล่าวนับว่าเป็นช่วงที่ดีในการเข้าไปช้อนซื้อหุ้น เนื่องจากผู้จัดการกองทุนได้เทขายหุ้นออกมา ทำให้ราคาของกลุ่มสถาบันการเงินในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน 0.8 เท่า และนับจากหลังจากปลายปี 2549 เป็นต้นมา ราคาหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินได้ลดลงไปแล้ว 33% แต่คาดว่าภายในปีนี้ราคาหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินจะปรับขึ้นมาอยู่ที่ 1 เท่าหรือมากกว่าได้

นายวนา กล่าวว่า บริษัทจึงเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดยูโอบี สมาร์ท ไฟเนียลเชียล ออพพอร์จูนนิตี้ (UOB Smart Financials Opportunities Fund : UOBSFO) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท โดยจะเน้นลงทุนในสถาบันการเงินในสหรัฐฯ และทวีปยุโรปที่ได้รับปัญหาจากวิกฤตซับไพรม์ แต่ยังมีแนวโน้มที่เติบโต และมีโอกาสในการฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท อายุโครงการ 5 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าหากภายใน 3 ปีแรก มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนหลักเพิ่มขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 100% ของราคาเสนอขายครั้งแรก (มูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้นของกองทุนหลักเท่ากับ 1 ดอลลาร์สิงคโปร์) กองทุน UOBSFO จะทำการยกเลิกโครงการก่อนกำหนด โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวระหว่างวันที่ 7 – 14 กรกฎาคม 2551 มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท

“กองทุนนี้ถือเป็นการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มองภาพวิกฤตซับไพรม์ที่เกิดขึ้นว่าจะจบ และตอนนี้หลายบริษัทก็มีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ในการเลือกจะต้องเป็นบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตผ่านธุรกิจที่หลากหลายและมีมูลค่าในปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง และยอมรับความผันผวนของหุ้นปรับตัวขึ้นและลดลงได้ โดยควรเป็นการลงทุนในระยะปานกลางตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป”

โดยกองทุน UOBSFO มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Financials Opportunities ซึ่งเป็นกองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนทั่วไป (retail fund) ซึ่งจัดตั้งและบริหารจัดการโดย UOB Asset Management ประเทศสิงคโปร์ โดยมีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์ตราสารทุนจำนวน 10 – 20 หลักทรัพย์ ของสถาบันการเงินระดับโลก กองทุนจะหาโอกาสทำกำไรจากการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมการเงิน นอกจากนั้น อาจทำการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงินด้วย

บริษัทจัดการจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน United Financials Opportunities โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และกองทุนจะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน

สำหรับการลงทุนในส่วนที่อยู่ในประเทศไทยนั้น บริษัทจัดการจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก และ/หรือตราสารแห่งหนี้ทั่วไป และ/หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ที่มีอายุของตราสาร หรือสัญญา หรือระยะเวลาการฝากเงิน แล้วแต่กรณี น้อยกว่า 1 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรองเงินไว้สำหรับการดำเนินงาน รอการลงทุน หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน

ทั้งนี้ บริษัทจัดการอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) ที่มีตัวแปรเป็นอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น (Hedging) เท่านั้น แต่จะไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Notes)

นายวนา กล่าวทิ้งท้ายว่า การออกกองทุนตอนนี้จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และปรับเปลี่ยนตามสภาพตลาดที่ปรับเปลี่ยนในขณะนั้น แต่บริษัทได้วางแผนที่จะออกกองทุนใหม่ในครึ่งปีหลังจำนวน 6 กองทุน กองทนุละประมาณ 1,400 ล้านบาท ได้แก่ กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (FIF) กองทนุตราสารหนี้จัดโครงสร้าง (Structured Note) เป็นต้น โดยเชื่อว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจผันผวนแต่บริษัทจะสามารถรักษามูลค่าทรัพยสินสุทธิ (NAV) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 11,000 ล้านบาทได้ พร้อมแนะนำในช่วงนี้นักลงทุนควรลงทุนในหุ้นประมาณ 10 - 20% เนื่องจากตลาดหุ้นยังมีความผัวผวนอยู่ ส่วนที่เหลือควรนำไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในประเทศ แต่หากสามารถรับความเสี่ยงได้ก็ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นในต่างประเทศได้
กำลังโหลดความคิดเห็น