xs
xsm
sm
md
lg

“กองทุนเปิด ThaiDEX SET50 ETF: อีกรูปแบบของการบริหารพอร์ต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เนื้อหาของบทความนี้จะเป็นการทบทวนกันอีกครั้งหนึ่งสำหรับนักลงทุนหลายท่านที่ได้ส่ง e-mail มาถามกันอย่างมากมาย ThaiDex SET50 ETF ถือเป็น ETF (Exchange Traded Fund) ที่ลงทุนในหุ้นทุนตัวแรกของประเทศไทย ซึ่งเมื่อท่านลงทุนก็เสมือนว่า ท่านได้กระจายการลงทุนในหุ้นพื้นฐานทั้ง 50 หลักทรัพย์ ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกต่างๆที่กำหนด โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตามที่ทุกๆท่านรู้จักกันดีใน SET50 ฉะนั้นนักลงทุนก็สามารถมั่นใจถึงคุณภาพ และสภาพคล่องของหลักทรัพย์ที่ใช้ในการลงทุนได้

ETF (Exchange Traded Fund) เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในตลาดทุนในประเทศต่างๆ รวมทั้งในภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นที่ เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซียและจีน เนื่องจากกองทุนนี้มีอัตราการเติบโตสะสมที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยข้อดีของ SET50 ETF อย่างแรกก็คือ การใช้เงินจำนวนไม่มาก โดยการซื้อหน่วยลงทุน 1 หน่วย ซึ่งแต่ละหน่วยลงทุนก็จะนำเงินไปลงทุนกระจายความเสี่ยงในหุ้น 50 ตัวแรก ข้อดีที่ 2 คือ การลงทุนผ่านกองทุนรวมถือเป็นการกระจายความเสี่ยงโดยใช้ฝีมือ และเครื่องมือต่างๆในการบริหารจัดการกองทุน โดยผ่าน บลจ. ที่ทำหน้าที่บริหาร SET50 ETF ข้อดีที่ 3 คือ ค่าธรรมเนียมการจัดการจะมีอัตราต่ำกว่าค่าธรรมเนียมการจัดการของกองทุนรวมประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับ equity fund ข้อดีข้อสุดท้ายคือ SET50 ETF ให้สภาพคล่องสูงเนื่องจากมีการนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายกันได้แบบ real-time และทราบราคา NAV(Net Asset Value) ในแต่ละช่วงเวลาและเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนทั่วๆไปแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะกองทุนอื่นๆ นักลงทุนสามารถทราบราคา NAV ณ สิ้นวันทำการ จึงทำให้ต้องยืดระยะเวลาการตัดสินใจที่จะซื้อหรือขายนั้นออกไป

การลงทุนใน SET50 ETF เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงจากการลงทุนในหุ้นโดยคาดหวังผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของ SET50 Index ซึ่งถือว่านักลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนของมูลค่าหน่วยลงทุนได้สูงเช่นกัน รวมทั้งนักลงทุนต้องสามารถลงทุนในระยะปานกลางถึงระยะยาวได้

ทั้งนี้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหน่วยลงทุน ตามการเคลื่อนไหวของ SET50 Index และที่สำคัญคือ นักลงทุนมีโอกาสได้รับเงินปันผล ซึ่งมีนโยบายจ่ายปีละไม่เกิน 4 ครั้งตามที่กำหนดในหนังสือชี้ชวนของ SET50 ETF กองทุนเปิดชนิดนี้จะใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ (passive management strategy) โดยลงทุนในตราสารแห่งทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสิทธิของกองทุน ทั้งนี้จะเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่อยู่ในกลุ่มของ SET50 Index และส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารทางการเงินหรือเงินฝาก และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียง SET50 Index

ณ ตอนนี้ผมคิดว่าท่านคงมีความเข้าใจใน SET50 ETF ระดับหนึ่งจากในบทความที่เขียนโดยนักวิชาการหลายๆท่าน แต่คำถามที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการลงทุนทุกๆประเภท คือ **“ความเสี่ยง (Risk)”** ทั้งเมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมอื่นๆ และ SET50 ETF เอง

2) ความเสี่ยงในการลงทุนของกองทุน ได้แก่

- ความเสี่ยงจากตลาด (market risk) คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากการปรับตัวของราคา หรือผลตอบแทน ของหลักทรัพย์ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ และการเมืองทั้งในและต่างประเทศ

- ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัทที่อยู่ใน SET50 Index (company risk)

- ความเสี่ยงอันเนื่องมาจากความแตกต่างกันระหว่าง ราคาซื้อขาย (Trading price) กับมูลค่า NAV ต่อหน่วย ซึ่งด้วยการบริหารจัดการของผู้ดูแลสภาพคล่องของตลาด จะดูแลให้ราคาอยู่ ณ ราคาดุลยภาพ โดยไม่แตกต่างกันเกินกว่า 1%

- ความเสี่ยงจากการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้ง Futures และ Options โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียง SET50 Index

- ความเสี่ยงจากการขยายฐานเงินลงทุน (Leverage risk) ในกรณีที่นักลงทุนต้องวาง Margin ใน Futures และ Options (สำหรับฝ่ายที่ขาย หรือ short option)

- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity risk) ในกรณีที่กองทุนไม่สามารถซื้อขายหลักทรัพย์ได้ภายในระยะเวลาหรือราคาตามที่กำหนดไว้ แต่เนื่องจากกองทุนมีผู้ดูแลสภาพคล่อง ทำให้ความเสี่ยงด้านนี้ค่อนข้างต่ำมาก

ทั้งหมดนี้ก็เป็นความเสี่ยงต่างๆ ที่สรุปมาให้นักลงทุนได้เข้าใจกันนะครับ โดยส่วนรายละเอียดต่างๆ นักลงทุนสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในหนังสือชี้ชวนของกองทุนเปิด Thaidex SET50 ETF ข้อมูลจากทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

สรุป: Thaidex SET50 ETF ถือเป็นนวัตกรรมของการบริหารเงินอย่างมีประสิทธิภาพอีกรูปแบบหนึ่ง ด้วยการสร้างโอกาสให้แก่นักลงทุนที่จะสามารถลงทุนในหุ้นทั้ง 50 หลักทรัพย์ ที่มีคุณภาพและได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยการซื้อหน่วยลงทุนผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เสมือนซื้อขายหุ้น อีกทั้งค่าธรรมเนียมในการซื้อขายก็ยังถูกกว่าการซื้อขายหุ้นด้วย (หมายเหตุ: ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นคือ 0.25% และค่าธรรมเนียมของการซื้อขาย ETF คือ 0.1%)

กำลังโหลดความคิดเห็น