ฤกษ์ไม่อำนวย "กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์" ประเดิมเทรดวันแรก โดนพิษตลาดหุ้นผันผวนฉุดราคาปิดเท่าจองที่ 10 บาท ด้าน "พิชิต" ไม่ท้อเตรียมเข็นกองทุนอสังหาฯ เข้าตลาดเพิ่มอีก 2-3 กอง ช่วงนี้อยู่ระหว่างเลือกสินทรัพย์คุณภาพสูงมาตั้งกอง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 มิ.ย.51) หลักทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ (MNRF) ได้ทำการซื้อขายวันแรก โดยราคาปิดที่ 10.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาในช่วงเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกที่ 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.77 ล้านบาท ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เช้ามาปิดที่ 742.46 จุด ลดลง 23.28 จุด หรือ 3.04% มูลค่าการซื้อขาย 19,624.31 ล้านบาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า บริษัทได้นำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ มูลค่าโครงการ 1,075 ล้านบาท จำนวนหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 107,500,000 หน่วย เข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มซื้อขายตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนเป็นต้นไป เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวได้เข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของโครงการนิชดาธานีในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) โดยซื้อบ้านเดี่ยวโครงการปาล์มทรีเพลส และดนิชาการ์เด้น คอนโดมิเนียมที่ถนนแจ้งวัฒนะ และบ้านเดี่ยวของโครงการนิชดา แอทอีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิของกองทุน โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,079,290.42 บาท หรือหน่วยลงทุนละ 10.0399 บาท
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีกประมาณ 2-3 กองทุน ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม คลังสินค้า หรืออาคารสำนักงาน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยผ่านกองทุนรวม และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนนอกเหนือไปจากการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้
โดยปัจจุบันบลจ.เอ็มเอฟซีกำลังอยู่ในระหว่างการเลือกทรัพย์สินที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาวอย่างรอบคอบ ซึ่งได้คำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างการลงทุนด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของกองทุน ในขณะเดียวกันก็ต้องการมีผลตอบแทนรายปีที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพย์สิน และระยะเวลาการลงทุนปานกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ เอ็มเอฟซีคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนด้วยดีเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายพิชิต เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ ในระหว่างวันที่ 21 เมษายน-8 พฤษภาคม 2551 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ซึ่งบริษัทได้จัดสรรหน่วยลงทุนด้วยระบบ Small Lot First ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน และได้จดทะเบียนกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551
สำหรับกองทุนรวม MNRF เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในโครงการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างชุมชนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นของกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยในแต่ละปี ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเช่าคุณภาพสูงมีแนวโน้มเติบโตสูงตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริหารกองทุนดังกล่าวให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
นอกจากนี้ กองทุนรวม MNRF จะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากการปล่อยเช่าบ้านเดี่ยวและห้องชุดพักอาศัยทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับบริษัทนิชดา และกองทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลงไว้ โดยกองทุนให้บริษัทนิชดาทำสัญญาเช่าโดยมีการวางหลักประกัน 9 เดือนของค่าเช่า และมีบทปรับเป็นเงินค่าเช่าจำนวน 24 เดือนหากผู้เช่าผิดสัญญา ทั้งนี้การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินและอาคาร (Freehold) กองทุนมีโอกาสที่จะได้รับมูลค่าเพิ่มในทรัพย์สิน โดยกองทุนมีสิทธิที่จะขายทรัพย์สินภายในกองทุนได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกับบริษัทนิชดาเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนโดยไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเช่ากับบริษัทนิชดา
ทั้งนี้ กองทุน MNRF จะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากการปล่อยเช่าบ้านเดี่ยว และห้องชุดพักอาศัยทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับบริษัทนิชดา และเมื่อครบ 7 ปีแล้ว สามารถต่อสัญญาได้อีก 5 ปี ทั้งนี้คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยในช่วง 7 ปีเท่ากับ 7.8% โดยผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 0.1% โดยในปีที่1 ได้ 7.5% ,ปีที่2 ได้ 7.6% ,ปีที่3 ได้ 7.7% ,ปีที่4 ได้ 7.8% ,ปีที่5 ได้ 7.9% ,ปีที่6 ได้ 8.0% และปีที่7 ได้ 8.1% นอกจากนี้หากมีการต่อสัญญาในปีที่ 8 ผลตอบแทนในปีที่ 8 จะต้องไม่น้อยกว่าปีที่7 ด้วย ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายกับผู้ลงทุนที่ดีทีเดียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (19 มิ.ย.51) หลักทรัพย์ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ (MNRF) ได้ทำการซื้อขายวันแรก โดยราคาปิดที่ 10.00 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากราคาในช่วงเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกที่ 10.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2.77 ล้านบาท ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เช้ามาปิดที่ 742.46 จุด ลดลง 23.28 จุด หรือ 3.04% มูลค่าการซื้อขาย 19,624.31 ล้านบาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า บริษัทได้นำหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ มูลค่าโครงการ 1,075 ล้านบาท จำนวนหน่วยลงทุนทั้งสิ้น 107,500,000 หน่วย เข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเริ่มซื้อขายตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายนเป็นต้นไป เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวได้เข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของโครงการนิชดาธานีในลักษณะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ (Freehold) โดยซื้อบ้านเดี่ยวโครงการปาล์มทรีเพลส และดนิชาการ์เด้น คอนโดมิเนียมที่ถนนแจ้งวัฒนะ และบ้านเดี่ยวของโครงการนิชดา แอทอีสเทิร์น ซีบอร์ด จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่ทำงานในไทย ทั้งนี้ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง ในอัตราไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิของกองทุน โดย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,079,290.42 บาท หรือหน่วยลงทุนละ 10.0399 บาท
ขณะเดียวกันในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อีกประมาณ 2-3 กองทุน ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม คลังสินค้า หรืออาคารสำนักงาน ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยผ่านกองทุนรวม และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนนอกเหนือไปจากการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้
โดยปัจจุบันบลจ.เอ็มเอฟซีกำลังอยู่ในระหว่างการเลือกทรัพย์สินที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในระยะยาวอย่างรอบคอบ ซึ่งได้คำนึงถึงการออกแบบโครงสร้างการลงทุนด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของกองทุน ในขณะเดียวกันก็ต้องการมีผลตอบแทนรายปีที่เหมาะสมกับประเภทของทรัพย์สิน และระยะเวลาการลงทุนปานกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ เอ็มเอฟซีคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนด้วยดีเช่นเดียวกับที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายพิชิต เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เปิดขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มัลติเนชั่นแนลเรสซิเดนซ์ฟันด์ ในระหว่างวันที่ 21 เมษายน-8 พฤษภาคม 2551 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ซึ่งบริษัทได้จัดสรรหน่วยลงทุนด้วยระบบ Small Lot First ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน และได้จดทะเบียนกองทุนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เรียบร้อยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2551
สำหรับกองทุนรวม MNRF เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในโครงการที่ประสบความสำเร็จในการสร้างชุมชนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งจากแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นของกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยในแต่ละปี ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเช่าคุณภาพสูงมีแนวโน้มเติบโตสูงตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการบริหารกองทุนดังกล่าวให้สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน
นอกจากนี้ กองทุนรวม MNRF จะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากการปล่อยเช่าบ้านเดี่ยวและห้องชุดพักอาศัยทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับบริษัทนิชดา และกองทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าเช่ารายเดือนตามที่ตกลงไว้ โดยกองทุนให้บริษัทนิชดาทำสัญญาเช่าโดยมีการวางหลักประกัน 9 เดือนของค่าเช่า และมีบทปรับเป็นเงินค่าเช่าจำนวน 24 เดือนหากผู้เช่าผิดสัญญา ทั้งนี้การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในที่ดินและอาคาร (Freehold) กองทุนมีโอกาสที่จะได้รับมูลค่าเพิ่มในทรัพย์สิน โดยกองทุนมีสิทธิที่จะขายทรัพย์สินภายในกองทุนได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกับบริษัทนิชดาเมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนโดยไม่ถือเป็นการผิดสัญญาเช่ากับบริษัทนิชดา
ทั้งนี้ กองทุน MNRF จะได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอ จากการปล่อยเช่าบ้านเดี่ยว และห้องชุดพักอาศัยทั้งโครงการเป็นระยะเวลา 7 ปีให้กับบริษัทนิชดา และเมื่อครบ 7 ปีแล้ว สามารถต่อสัญญาได้อีก 5 ปี ทั้งนี้คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยในช่วง 7 ปีเท่ากับ 7.8% โดยผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ละ 0.1% โดยในปีที่1 ได้ 7.5% ,ปีที่2 ได้ 7.6% ,ปีที่3 ได้ 7.7% ,ปีที่4 ได้ 7.8% ,ปีที่5 ได้ 7.9% ,ปีที่6 ได้ 8.0% และปีที่7 ได้ 8.1% นอกจากนี้หากมีการต่อสัญญาในปีที่ 8 ผลตอบแทนในปีที่ 8 จะต้องไม่น้อยกว่าปีที่7 ด้วย ซึ่งถือเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายกับผู้ลงทุนที่ดีทีเดียว