xs
xsm
sm
md
lg

พระเอกค่าตัวลด...อนาคตราคาสินค้าเกษตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถือว่ามองวิกฤตเป็นโอกาสได้เช่นกันกับยุคข้าวยากหมากแพง และภาวะโลกร้อน ที่พระเอกตัวจริงอย่างสินค้าเกษตรต่างๆ มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มจะเป็นอย่างไรลองมาดูว่า สถานการณ์การซื้อขายและราคาทีผ่านมาสูงมากเกินไปหรือเปล่า หรือว่าในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้อย่างไร

บทวิเคราะห์ของ บริษัท ธนเกษตร จำกัด บอกถึงบรรยากาศการการซื้อขายของราคาในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (12-16 พฤษภาคม 2551) ว่า ยังคงคึกคักพอสมควร ด้วยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 781สัญญา โดยมียางแผ่นรมควันชั้น 3 คึกคักที่สุดเฉลี่ยต่อวันที่ 353 สัญญา และสินค้าข้าวขาว 5% เฉลี่ยต่อวันที่ 428 สัญญา

การซื้อขายในระะดับ 780 สัญญาต่อวันน่าจะบ่งบอกได้ว่า เป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยเมื่อปี 2550 ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่เพียงแค่ 370 สัญญา เท่ากับว่าในปี 2551 ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเติบโตเพิ่มจากเมื่อปี 2550 ถึงกว่า 111%

ความร้อนแรงในการเติบโตของปริมาณการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าที่ปรากฏขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่น่าจะมาจากราคาสินค้าในตลาด AFE มีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และทำให้การตัดสินใจในการเข้ามาส่งสัญญาซื้อหรือสัญญาขายของนักลงทุนนั้นง่ายมากขึ้น เพราะการที่ราคามีทิศทางการเคลื่อนไหวไปทางใดทางหนึ่งอย่างชัดเจน จะทำให้นักลงทุนได้เห็นถึงโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างได้มากกว่าการที่ราคานิ่งอยู่กับที่หรือมีการเคลื่อนไหวที่จับทิศทางไม่ได้

ในรอบ 4-5 เดือนที่ผ่านมาของปี 2551 ถือได้ว่าเป็นยุคทองของสินค้าในตลาด AFET ด้วยเพราะราคาสินค้าในตลาด AFET ล้วนปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงจากเมื่อปี 2550 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะราคาของข้าวขาว 5% ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นจากเมื่อปลายปี 2550 ที่ระดับ 11.75 บาทต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 32.2 บาทต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 22 เมษายน 2551 หรือเป็นการเพิ่มกว่า 176% ในขณะที่ราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ก็มีการปรับเพิ่มจนมาถึงระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ระดับ 95 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว

จากที่กล่าวมาในขั้นต้น นั้นคือการที่ราคามีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนย่อมส่งผลในเชิงบวกต่อปริมาณการซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าใน AFET นับจากนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อผลการเติบโตของตัวตลาด AFET ในปี 2551

ช่วงขาลงสินค้าเกษตร
มีการวิเคราะห์กันว่า ทิศทางของราคาในตลาด AFET นับจากนี้น่าจะเริ่มเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง เนื่องจากในช่วงต้นปีไม่ว่าจะเป็นราคา ข้าวขาว 5% หรือราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ล้วนแล้วแต่เป็นขาขึ้น และไม่ใช่ขาขึ้นธรรมดาแต่เป็นขาขึ้นที่ร้อนแรงมากๆ โดยตามธรรมชาติของราคานั้นมีสัจธรรมอยู่อย่างหนึ่งว่า ราคามีขึ้นก็ย่อมมีลง ซึ่งนั่นก็แปลว่าราคาไม่สามารถที่จะปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างเดียวและตลอดไป
จำเป็นที่ราคาจะต้องมีการปรับลดลงหลังจากที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น เพราะด้วยหลักการของคำว่าสินค้า ถ้าราคามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมันจะสวนทางกับความต้องการในตัวสินค้าที่จะมีการปรับลดลง จนถึงจุดจุดหนึ่งเมื่อราคาได้ขึ้นมาที่จุดสูงสุด ความต้องการในตัวสินค้านั้นจะมีน้อยมาจนถึงไม่มีความต้องการ

มีคำถามตามมาว่า แล้วราคาทั้งข้าวขาว 5% และยางแผ่นรมควันชั้น 3 ได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้วหรือยัง?

คำตอบที่เกิดขึ้นก็คือ นับตั้งแต่ต้นปี 2551จนมาถึงกลางปีที่สิ้นเดือนมิถุนายราคาได้ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว และทำให้ราคาในช่วงเดือนมิถุนายน ทั้งราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 และราคาข้าวขาว 5% มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงหรือเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง ราคานับจากนี้ไปอีก 1 เดือนเศษราคาจะต้องปรับตัวลดลง นั้น จะขอแบ่งสาเหตุออกเป็นรายสินค้า

ยางแผ่นรมควันชั้น 3
มองกันว่าราคายางแผ่นรมควันชั้น 3 ก่อนหน้านี้ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นจนไปถึงระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีที่ระดับ 95.45 บาทต่อกิโลกรัม จากเหตุผลหลักคือ ปริมาณผลผลิตยางที่ออกมาสู่ตลาดนั้นมีอยู่อย่างจำกัดจากสภาพภูมิอากาศของประเทศผู้ส่งออกยางหลักของโลกอย่างประเทศไทยนั้นไม่เอื้ออำนวยต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิตอันเนื่องมาจาก จะเห็นได้ว่าสาเหตุที่ราคายางมีการปรับเพิ่มมากขึ้นนั้นก็มาจาก 1. ผลผลิตยางที่ออกสู่ตลาดน้อยลง 2.ความต้องการยางยังมีสูง

แต่ถ้าพิจารณาถึงสาเหตุทั้งสองนับจากนี้เป็นต้นไป โดยเริ่มจากผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องจาก สภาพอากาศที่เริ่มเอื้ออำนวยต่อผลผลิตจากฝนที่เริ่มเบาบางลง ทั้งในประเทศไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย สะท้อนออกมาเป็นปริมาณยางที่มีการนำออกมาประมูลกันที่ตลาดกลางหาดใหญ่ที่มีการปรับเพิ่มจาก 8 ตันต่อวันเป็น 34 ตันต่อวัน โดยมีแนวโน้มว่าปริมาณยางที่ออกสู่ตลาดจะเริ่มมีออกมามากขึ้นและน่าจะถึง 100 ตันต่อวันภายในต้นเดือนมิถุนายน

จากสาเหตุคร่าวๆดังกล่าวก็จะทำให้แนวโน้มของราคายางนับจากนี้น่าจะเริ่มเกิดการปรับลดลงจากผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดมากขึ้นและผู้บริโภคไม่นิยมที่จะเข้าซื้อยางในช่วงราคาแพงอย่างตอนนี้

ราคาข้าวขาว 5%
ก่อนหน้านี้ราคาได้มีการทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในทุกๆวันจนทำให้ราคาขึ้นมาถึงจุด 32.2 บาทต่อกิโลกรัม แต่พอมาถึงเดือนพฤษภาคมราคาได้เริ่มมีการปรับลดลงจนล่าสุดลงมาอยู่ที่ 26.8 บาทต่อกิโลกรัม

การปรับเพิ่มขึ้นของราคาในช่วงเดือนมกราคมจนถึงเดือนเมษายน ก็มาจากความวิตกกังวลต่อสมดุลข้าวของโลกที่ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ จากการที่หลายๆประเทศมีการจำกัดการส่งออกข้าว และสต็อกข้าวของโลกมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนพฤษภาคม จากการที่ราคาได้ขี้นจนไปถึงระดับที่ ผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อได้ โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ที่มีการล้มประมูลรับซื้อข้าว อันเนื่องจากราคาเสนอขายที่สูงมากจนไม่สามารถรับซื้อได้ ทำให้ปริมาณข้าวในสต็อกของผู้ผลิตหลักเริ่มไม่สามารถระบายออกได้และเมื่อผสมกับปริมาณข้าวนาปรังในประเทศผู้ส่งออกหลักอย่างไทยที่ออกสู่ตลาดมากขึ้น ก็ทำให้ปริมาณข้าวของโลกเริ่มที่จะมีเพิ่มมากขึ้น และถ้ายิ่งพิจารณาถึงปริมาณข้าวที่จะออกในช่วงเดือนมิถุนายนที่ประเทศอินเดียและเวียดนามจะเริ่มยกเลิกมาตรการจำกัดการส่งออกก็จะยิ่งทำให้ปริมาณข้าวของโลกยิ่งปรับเพิ่มขึ้นไปอีก จากปริมาณข้าวที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดมากมายดังกล่าวก็ทำให้กระทรวงเกษตรของสหรัฐมีการปรับเพิ่มการคาดการณ์สต็อกข้าวของโลก จาก 7.7 ล้านตันเพิ่มเป็น 8.2 ล้านตัน ซึ่งนั่นก็สะท้อนถึงการยุติความวิตกกังวลว่าข้าวโลกจะขาดแคลนได้เป็นอย่างดี

ยิ่งรัฐบาลมีการออกมาประกาศจะประกันราคาข้าวเปลือกความชื้นไม่เกิน 15% ที่ราคา 14,000 บาทต่อตันก็ยิ่งเป็นการฟ้องถึงภาวะขาลงของราคาได้อย่างชัดเจน เพราะถ้าราคายังคงเป็นขาขึ้นรัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะเข้ามาแทรกแซงราคา

จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาทั้งหมดก็ทำให้ทิศทางในตลาด AFET นับจากนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ก็มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเป็นขาลงทั้ง ข้าวขาว 5% และยางแผ่นรมควันชั้น 3

สรุปแล้วราคาสิ้นถ้าเกษตรจนถึงช่วงครึ่งปีของปีนี้จะปรับมีการปรับตัวลดลง จากการที่ผลผลิต และความต้องการจะเข้าสู่สมดุลมากขึ้น หลังจากที่ขาดแคลนในช่วงที่ผ่านมา แต่หลายคนคงทราบดีกับวัฏจักรสินค้าเกษตรมักจะมีวงจรราคาของมันอยู่ ซึ่งอย่างน้อยคนเรายังไงก็ต้องกินต้องใช้สิ่งเหล่านี้เป็นประจำ แต่ผลผลิตที่ได้มักจะไม่แน่นนอน ออกมามากราคาจะต่ำ แต่เมื่อขาดแคลนมันจะปรับสูงขึ้น ส่วนจะสมดุลหรือไม่คงคาดการณ์ไม่ได้ แต่เชื่อว่าบทวิเคราะห์นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านได้ในระดับหนึ่ง

กำลังโหลดความคิดเห็น