xs
xsm
sm
md
lg

ยิลด์บอนด์เกาหลีจ่อลง แนะจับจังหวะซื้อลงทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้บริหารบลจ. เผย ผลตอบแทนกองทุนบอนด์เกาหลีใต้มีสิทธิขยับลง เหตุตลาดคาดการณ์รัฐบาลกดดอกเบี้ยในประเทศลงในวันที่ 8 พ.ค.นี้ แถมยังได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินไหลเข้าเป็นจำนวนมาก จนกดดันต้นทุนสวอปสูงขึ้น แต่ยังมองระยะยาวน่าลงทุน ในแง่ผลตอบแทนและความเสี่ยงตํ่า พร้อมระบุประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย แนวโน้มเศรษฐกิจโตสูงน่าลงทุน เหตุจำเป็นต้องออกพันธบัตรของตนเองเพื่อนำเงินเข้ามาพัฒนาประเทศ

นายสมชัย บุญนำศิริ
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ. ) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้ว่า ในเรื่องของอัตราผลตอบแทนการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้นั้น มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากผลตอบแทนในรูปสกุลเงินวอน ปรับตัวลดลงจากการที่มีการคาดการณ์ว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเกาหลีใต้ ในวันที่ 8 พฤษภาคม นี้ อาจจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ กระแสเงินทุนไหลเข้าไปลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน สกุลเงินวอนต่อดอลล่าร์สหรัฐ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจากภาวะตลาดในปัจจุบันส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ในรูปสกุลเงินบาท มีโอกาสปรับตัวลดลงได้ และอาจจะส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้มีโอกาสปรับตัวลดลงเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนที่สนใจลงทุนในพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้ควรหาโอกาสลงทุนในช่วงเวลานี้

สำหรับการลงทุนตลาดตราสารหนี้ในประเทศในช่วงไตรมาส 1 ปี 2551 ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุโดยปรับลดลง 11-74 bp ทั้งนี้ เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และ ธนาคารกลางสหรัฐหรือ Fed ได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็วจนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และอาจเป็นแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรโดยการซื้อพันธบัตรที่มีอายุคงเหลือยาว

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายไตรมาสตัวเลขระดับเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่ธปท. อาจจะไม่พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง โดยล่าสุดตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส1ปี51 ขยายตัวร้อยละ 5.0 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 50 ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.9 ต่อปี

ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 2 คาดว่า อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐอายุคงเหลือยาวยังมีแนวโน้มปรับตัวลง ในขณะที่ตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น อายุไม่เกิน1 ปี มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นไตรมาสที่ 1 ผลตอบแทนอยู่ที่ 2.93%ต่อปี และล่าสุดผลตอบแทน อยู่ที่ประมาณ 3.23% ต่อปี เนื่องจากนักลงทุนมีการทยอยขายตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาว และกลับมาลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยRP1 วันตามเดิม ที่ระดับ 3.25%ต่อปี เพราะมีความกังวลตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และกดดันให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้น ประกอบกับราคาสินค้าการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นอีกแรงกดดันที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ปัญหา Sub-Prime ของสหรัฐก็ยังคงเรื้อรังและทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)ส่งผลให้สภาวะตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกยังคงอยู่ในภาวะผันผวน
นายกำพล อัศวกุลชัย
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในระยะยาวประเทศในภูมิภาคเอเชียจำเป็นต้องออกพันธบัตรของตนเองเพื่อนำเงินเข้ามาพัฒนาประเทศ เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งการออกพันธบัตรนำเงินมาพัฒนาประเทศนั้น ต้องอาศัยเงินทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในพันธบัตรดังกล่าว ดังนั้น นักลงทุนจะมองในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยเป็นหลัก รวมถึงความเสี่ยงของการลงทุนในพันธบัตรในระดับที่ตํ่า โดยเห็นได้ชัดในขณะนี้คือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลี ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงมีความเสี่ยงในระดับที่ตํ่าและมีเรตติ้งสูงกว่าประเทศไทย ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ นักลงทุนเลือกลงทุนในสถาบันการลงทุนประเภทกองทุนรวมมากกกว่า เพราะกองทุนรวมมีการปิดความเสี่ยงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้วทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลในเรื่องดังกล่าว

ส่วนในเรื่องของผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาวนั้น นายกำพล กล่าวว่า ผลตอบแทนการลงทุนยังคงอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งขึ้นอยู่กับการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรเอง แต่แนวโน้มในระยะยาวแล้วมีความน่าลงทุนอยู่ รวมถึงการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศอื่นในเอเชียด้วย ซึ่งมีแนวโน้มว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียจะเติบโตสูงขึ้นในระยะยาว โดยส่วนใหญ่จะเป็นประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย เช่น เวียดนามและจีน ในขณะเดียวกันประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ มีนโยบายทางเศรษฐกิจที่เสรี เป็นไปตามระบบทุนนิยม ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุนภายในประเทศ รวมทั้ง การเกิดวิกฤตสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ หรือ ซับไพร์มในสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย

นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศในเอเชีย ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนบ้างแต่คงไม่มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ

นายกำพล ยังกล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ของประเทศไทยว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น ซึ่งคาดว่าหลังนี้ไปการลงทุนในประเทศไทยทั้งในพันธบัตรรัฐบาลและตลาดตราสารหนี้ น่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี
กำลังโหลดความคิดเห็น