บลจ. กรุงไทย ปลื้มปี50 กำไรเพิ่ม 92 ล้านบาท ฟันค่าธรรมเนียมโพวิเด้นท์ฟันด์ วายุภักษ์สูงสุด ส่วนปีนี้วางแผนออกกองทุนเพิ่มปั๊มยอดสินทรัพย์รวม ระบุกองทุนเกาหลีจะเป็นตัวสร้างผลกำไร เตรียมเข็นเพิ่มอีก 1 กอง "KTFIF1Y5" ลงทุน 10-12 เดือน เปิดขายตั้งเเต่วันนี้ถึง วันที่ 6 พ.ค พร้อม เล็งออกกองใหม่"โกลบอล เทรดเชอรี"ลงทุนในสกุลเงินดอลล่าร์ ปอนด์และยูโร หวังล่อใจนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน
นายสมชัย บุญนำสิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ผลกำไรของ บลจ. ที่เพิ่มขึ้นในปี 2549 ที่ผ่านมาว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากทาง บลจ.กรุงไทยมีผลกำไรจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหน่วยลงทุนของผู้ลงทุนรวมทุกกองอยู่ที่ 370.32 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมากการบริหารจัดการที่ดีของทาง บลจ. กรุงไทย เป็นผลทำให้มีผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนของ บลจ.กรุงไทยเพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของ กองทุนวายุภักษ์ 1 นั้นมีผลกำไรจากค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 30 ล้านบาท รวมถึงกองทุนสำรองเลี้ยงชีพซึ่งก็ได้ค่าธรรมเนียมที่สูงเช่นกัน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนของ บลจ. กรุงไทยในปี 2551 ว่า แนวโน้มการลงทุนในปี 2551 โดยรวมแล้วน่าจะได้รับผลตอบแทนในอัตราที่ดี เพราะตลาดหุ้นในประเทศไทยปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นไม่ดีนัก แต่เมื่อเข้าสู่ในช่วงเดือนเมษายน มีกระแสการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่มมากขึ้น โดยหลาย บลจ. มีการเปิดขายกองทุนที่ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้เพิ่มมาก ซึ่งในส่วนของ บลจ.กรุงไทยนั้นมีการขายกองทุนดังกล่าว 4 กองมูลค่ากองละประมาณ 1,800 ล้านบาท ซึ่งจากการที่มีนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในกองทุนดังกล่าวมากจะส่งผลให้ผลตอบแทนของ บลจ. ในปี 2551 ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ บลจ. กรุงไทยเตรียมออกกองทุน โกลบอล เทรดเชอร์รี่ ในปีนี้ มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โดยกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) สกุลเงิน ดอลล่าร์สหรัฐ สกุลเงินปอนด์ และสกุเงินยูโร ทั้งนี้การลงทุนในสกุลเงินดังกล่าวเป็นการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงกับผู้ลงทุนที่ต้องการใช้เงินในสกุลเงินเหล่านี้ ซึ่งผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน นายสมชัย กล่าวต่อว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมองว่าเงินดอลลาร์ สหรัฐ น่าจะกลับมาดีขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้ เพราะเงินดอลลาร์นั้นอ่อนค่าไปถึงจุดที่น่าจะกลับมาแข็งค่าขึ้นแล้ว
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานในรอบระยะเวลาบัญชี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ในอัตราหุ้นละ 3.00 (สามจุดศูนย์ศูนย์)บาท ต่อหุ้น ขณะที่เมื่อปีสิ้นปี 2550 ที่ผ่านมา บลจ. กรุงไทยมีกำไรสุทธิ 69.24 ล้านบาท จากผลกำไรสุทธิเมื่อปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 33.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.72 ล้านบาท หรือคิดเป็น 106.5%โดยที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้นในปี 2550 อยู่ที่ 3.46 บาท จากเมื่อปี 2549ซึ่งมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 1.68 บาท
นายสมชัย บุญนำศิริ กล่าวอีกว่าว่า นอกจากกองทุน โกลบอล เทรดเชอร์รี่แล้ว ทาง บลจ.ยังจะทำการการเปิดขายหน่วยลงทุน กองทุนกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ1ปี5 (KTFIF1Y5)อีก 1 กองทุน ตั้งเเต่วันที่ 28 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2551 โดยมีมูลค่าโครงการ 1,860 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 10-12 เดือน ซึ่งกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารภาครัฐต่างประเทศ เช่น พันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ เป็นต้น ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) อยู่ในระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนจะทำการป้องกัน ความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
"สถานการณ์การลงทุนในพันธบัตรภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ อัตราผลตอบแทนอยู่ในภาวะทรงตัว โดยที่อัตราผลตอบแทนในรูปสกุลเงินวอนปรับตัวลดลงบ้างตามภาวะตลาด แต่ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินวอนและเงินบาทก็มีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ผลตอบแทนสุทธิในรูปสกุลเงินบาทอยู่ในภาวะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐเกาหลีใต้อายุ 1 ปีอยู่ที่ประมาณ 4.40% ในขณะที่พันธบัตรภาครัฐไทย อยู่ที่ 3.20% ต่อปี โดยเป็นอัตราผลตอบแทนที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของกองทุน" นายสมชัย กล่าว
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารภาครัฐเกาหลีใต้ ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารภาครัฐของไทย จึงทำให้การลงทุนในเกาหลีใต้ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุนในตราสารต่างประเทศ และต้องการโอกาสได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการลงทุนตราสารภาครัฐของไทยที่มีอายุใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในด้านความเสี่ยง ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศไทย จากการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระยะสั้นของประเทศ (Sovereign Credit Rating ) โดยบริษัทฟิทช์ เรทติ้ง เกาหลีใต้อยู่ที่ระดับF1 ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ที่ F2
สำหรับบลจ.กรุงไทยได้เปิดจำหน่ายกองทุนพันธบัตรเกาหลีใต้ไปแล้วทั้งสิ้น 4 กองทุน โดยบริษัทระดมเงินได้กว่า 7,400 ล้านบาท และยังมีปริมาณความต้องการของผู้ลงทุนที่สนใจจะซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะฐานลูกค้าของบริษัท และฐานลูกค้าจากธนาคารกรุงไทย
ขณะเดียวกันกองทุนที่จะครบกำหนดอายุในสัปดาห์นี้ ได้เเก่ กองทุนเปิดกรุงไทยมั่นคงคุ้มครองเงินต้น 17 ( KTMP17) ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับเงินคืนในวันที่ 29 เมษายน 2551 และ กองทุนกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ต่างประเทศ6เดือน4 ( KTFIF6M4) ผู้ถือหน่วยจะได้รับเงินคืนในวันที่ 30 เมษายน 2551 สำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีความประสงค์จะลงทุนต่อเนื่อง สามารถลงทุนในกองทุนที่บริษัทเปิดจำหน่ายอยู่ในขณะนี้ได้ โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สาขาธนาคารกรุงไทยทั่วประเทศ