ผู้บริหารบลจ.มองการลงทุนในประเทศบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ยังคงน่าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะการลงทุนในระยะยาว เเนะให้จับตาหุ้นกลุ่มคอมูนิตี้เป็นพิเศษเนื่องจากการเติบโตสูงขึ้น ขณะที่ตลาดบอนด์ยังไม่น่าสนใจเพราะผลตอบเเทนไม่เข้าเป้าพร้อมทั้งยังมี โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสัญญาสวอปในอินเดีย
นายอลัน แคม กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการลงทุนในตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศบริค (BRIC)ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน ว่า การลงทุนในตลาดหุ้นของทั้ง 4 ประเทศนี้มีความน่าลงทุนมาก ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในระะยาวซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 4 ประเทศนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศจีนนั้น มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงในระดับ 10% และส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นของจีนอย่างชัดเจนแม้ว่าดัชนีในช่วงนี้จะมีการปรับตัวขึ้นลงก็ตาม แต่นักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นบางตัวเท่านั้น
ส่วนประเทศรัสเซียกับอินเดียนั้น มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงเช่นกัน โดยเฉพาะรัสเซียที่มีรายได้จากการส่งออกทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น เช่น นํ้ามัน ซึ่งในระยะนี้คงไม่มีปัจจัยอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งสองประเทศนี้แย่ลง ขณะที่ ประเทศบราซิลนั้น มีปริมาณผลผลิตทางด้านสินค้าเกษตรส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปรับตัวสูงขึ้นทำให้ตลาดหุ้นของประเทศบราซิลมีความน่าลงทุนตามไปด้วย
นายอลัน แคม กล่าวต่อว่า ราคานํ้ามันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น ได้ส่งผลต่อการลงทุนในประเทศเหล่านี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะจีนกับอินเดียที่ปัจจุบันมีการใช้พลังงานในประเทศมากเพิ่มากขึ้น รวมถึงในเรื่องของปัญหาอัตราเงินเฟ้อนับว่าเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ควรเฝ้าติดตาม ซึ่งทั้งโลกกำลังได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ โดยอาจจะส่งผลกระทบต่อประเทศเหล่านี้บ้างแต่คงไม่มากเท่าไรเพราะประเทศเหล่านี้มีการรับมือกับเรื่องดังกล่าวอย่างดี
"การลงทุนในตลาดหุ้นของ BRIC เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลี ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว มีความน่าลงทุนเหมือนกัน แต่แตกต่างกันเพราะการลงทุนใน BRIC เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลประเทศเกาหลี ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น"
นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นของ BRIC ขณะนี้ถือว่ามีความน่าลงทุนมาก เพราะอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้ง 4 ประเทศซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ มีการเติบโตที่คึกคักมากส่งผลให้ธุรกิจภายในประเทศเหล่านี้มีการขยายตัวได้อย่างดี โดยในส่วนของประเทศบราซิลนั้น เป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ดี และโดดเด่นมากในละตินอเมริการวมทั้งเป็นประเทศที่มีการผลิตแก๊สโซฮอล์ใช้ถายในประเทศมากที่สุด ทำให้ลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศได้มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ
ขณะที่ประเทศรัสเซียนั้นมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับ 6-7% เพราะเป็นประเทศที่มีการบริหารในระบบทุนนิยมมากขึ้นจากในอดีต รวมถึงเป็นประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่แล้วและมีทรัพยากรณ์ทางธรรมชาติในปริมาณที่มาก ทำให้ประเทศรัสเซียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางด้านพลังงานมากนัก
ส่วนประเทศจีนและอินเดียนั้น มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงเช่นกัน โดยประเทศอินเดียนั้นมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับ 8% ส่วนประเทศจีนนั้นขยายตัวในระดับ 10% แต่ทั้ง 2 ประเทศนี้ เป็นประเทศที่บริโภคพลังงานภายในประเทศมาก ทำให้ได้รับผลกระทบจากราคาพลังงานที่มีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา
*ตลาดบอนด์ยังไม่น่าสนใจ*
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)อยุธยา จำกัด กล่าวว่า ความน่าสนใจเรื่องการลงทุนในพันธบัตรของประเทศ บราซิล รัสเซีย จีน เเละอินเดีย หรือ BRIC นั้นยังไม่สนใจพอเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรประเทศเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย เเละนิวซีเเลนด์ เนื่องจากพันธบัตรเหล่านี้ ให้ผลตอบเเทนที่ดีกว่า โดยการลงทุนใน BRIC น่าจะไปลงทุนในรูปเเบบของการลงทุนในหุ้นมากกว่า
" จีนเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากที่สุดในกลุ่ม BRIC ค่าเงินก็อยู่ในระดับดี พันธบัตรรัฐบาลจีนก็ให้ผลตอบเเทนอยู่ในระดับดีด้วยเหมือนกัน ถ้ามองในส่วนของประเทศบราซิล เรทติ้งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศไทย ขณะที่รัสเซีย เรตติ้งอยู่ในระดับเท่ากับไทย เเต่ก็ยังไม่น่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนเท่าไร ส่วนอินเดียนั้นติดปัญหาเรื่องการทำสัญญาสอวป ทำให้เข้าไปลงทุนค่อนข้างยาก " นายอาสา กล่าว
รายงานข่าวจาก LIPPER ระบุว่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 กองทุนเปิดแอสเซทพลัสบริค กองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส จำกัด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 347.95 ล้านบาท ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -8.71%
ขณะที่กองทุนไอเอ็นจี ไทย บริค 40 ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกองทุน SPDR S&P BRIC 40 ETF (BIK) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีตั้งแต่ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับ S&P BRIC 40 Index ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 575.06 ล้านบาท และให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -12.60%
ส่วนกองทุนเปิดพรีมาเวสท์(ไทยแลนด์) บริค สตาร์ ฟันด์ ซึ่งเป็นกองทุนของบลจ.พรีมาเวสท์(ไทยแลนด์) ซึ่งมีนโยบายเน้นลงทุนในกลุ่มประเทศ BRIC เช่นเดียวกันนั้น กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 471.59 ล้านบาท ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -13.16%