เรื่องของความเชื่อมั่นในการลงทุนเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับนักลงทุนโดยส่วนใหญ่ทั่วโลก ควบคู่ไปกับความเสี่ยงและแรงใจในการลงทุนของแหล่งลงทุนนั้นๆ นอกจากนี้ สถาบันจัดอันดับการลงทุนชื่อดังที่ได้รับการยอมรับซึ่งออกมาคาดการณ์เรื่องของการลงทุน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจในการลงทุนของนักลงทุน
จากการที่ธนาคารโลกหรือ WORLD BANK ได้ออกมาคาดการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้จะขยายตัวสูงถึง 5% นั้นคงจะเป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่นักลงทุนรวมทั้งประชาชนทั่วไปคงจะถามกันว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน จะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้การคาดการณ์เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ รวมถึงในเรื่องของบรรยากาศการลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เราไปฟังความเห็นของ "กูรู" ที่มีความเชียวชาญทางเศรษฐกิจและการลงทุนกัน ว่าเขามองเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างไรบ้าง
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด กล่าวถึงการที่ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้จะขยายตัวถึง 5% ว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะมาตราการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลประกาศออกมาสามารถปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภครวมทั้งตลาดเงินตลาดทุน โดยที่ตลาดหุ้นนั้นจะได้รับผลดีเพราะตลาดหุ้นนั้นชอบเงินเฟ้อที่พอดีๆ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นมีการซื้อขายที่มากขึ้น ส่วนตลาดเงินนั้นคงส่งผลต่อเรื่องของสินเชื่อรวมถึงเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งแบงก์ชาติควรตรึงอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่การลงทุนในตลาดตราสารหนี้นั้น ในระยะสั้นคงไม่มีปัญหาอะไรแต่ในระยะยาวน่าเป็นห่วง เพราะผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ตรงกันข้ามเศรษฐกิจที่ดีขึ้น นักลงทุนควาระวังเรื่องของการปัญหาทางการเมืองซึ่งเป็นข้อลบต่อผู้ลงทุนโยตรงและจะอยู่ในประเทศไปอีกนาน
"ประภาส" กล่าวต่อว่า สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องกันขณะนี้คือ รัฐบาลควรใช้นโยบายขาดดุลเพื่อต่อสู้กับความผันผวนของประเทศรวมถึงการส่งออกที่ด่อนข้างจะชะลอตัว ทั้งนี้หารัฐบาลใช้นโบายการลงทุนแบบขาดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าในระยะ 3-5 ปีข้างหน้านี้ จะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเพราภาพที่ปรากฎออกมาค่อนข้างชัดเจน
ส่วนในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อนั้น ควรระวังในเรื่องการใช้จ่ายต่างๆ หานักลงทุนมีความกังวลในเรื่องเงินเฟ้อควรนำเงินไปลงทุนในกองทุนที่ลงทุนใน สินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมูลนิตี้) หรือนำไปลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้า
นอกจากนี้ ในเรื่องความเชื่อมั้นของนักลงทุนต่างประเทศนั้น นักลงทุนให้ความสนใจการลงทุนในประเทศไทยมากอยู่แล้วโดยตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือตลาดหุ้นประเทศไทยกับประเทศอินโดนิเซีย
"นักลงทุนควรลงทุนในระยะยาว รวมทั้งควรเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ ด้วยวิธีการลงทุนอย่างต่อเนื่องและไม่ควรลงทุนโดยใช้อารมณ์"ประภาส กล่าวแนะนำ
สอดคล้องกับ ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่กล่าวว่า สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจคงจะดีขึ้นตามลำดับ รวมถึงบรรยากาศการลงทุนคงจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจบิก ได้อนุมัติเงินกู้ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ขณะที่นักลงทุนนั้นจะมองเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหลักเพราะยังมีความกังวลในเรื่องของการยุบพรรการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
กำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการผู้อำนวยการ สายธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวถึงแนวโน้วการลงทุนในปีนี้ว่า นักลงทุนไม่ควรถือเงินสดไว้ควรไปลงทุนจะดีกว่าเพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีอนาคตโดยเลือกเป็นรายตัวไม่ควรกวาดซื้อทุกตัว แต่ถ้านักลงทุนมีความกลัวหรือไม่มีเวลาในการบริหารดูแลก็ควรนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมเพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลบริหารเงินเรานำไปลงทุน