xs
xsm
sm
md
lg

ทิสโก้คาดอัตราดอกเบี้ยขาลง Q2เน้นบอนด์ระยะกลาง-ยาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทิสโก้คาดอัตราดอกเบี้ยขาลง Q2 เน้นลงทุนพันธบัตรระยะกลาง-ยาว เหตุราคาบอนด์อาจปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต ระบุสถานการณ์ตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาผันผวน หลังเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ยังมีปัจจัยหนุนจากนโยบายขาดดุลงบประมาณการคลัง และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐบาล

รายงานจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยแนวโน้มการลงทุนในตลาดราสารหนี้ไตรมาสที่ 2 ว่า สถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ในช่วงไตรมาสนี้ เชื่อว่าพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรอายุปานกลางถึงยาว ยังคงมีความผันผวน และแกว่งตัวในกรอบเดิม ทำให้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในการลงทุนในพันธบัตรระยะปานกลางถึงยาว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นค่อนข้างน้อย

อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือปัจจัยกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงมีอยู่สูง และปริมาณพันบัตรออกใหม่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2551 ทิสโก้ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรระยะปานกลางถึงยาว เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ประกอบกับคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการที่ราคาพันธบัตรมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม จะยังคงเน้นการลงทุนในพันธบัตรที่มีสภาพคล่องสูง ทั้งนี้เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้ง่าย สำหรับการลงทุนในหุ้นกู้เอกชน ทิสโก้จะเน้นการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนอายุประมาณ 1-3 ปี ที่มี credit rating ที่ดี โดยเน้นระดับ A- ขึ้นไป

อนึ่ง สถานการณ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 1 ปีของปีนี้ รายงานของบลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า เนื่องจากราคาน้ำมัน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ โดยอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับเกินร้อยละ 5.0 ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องคงดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 3.25 ตลอดช่วงไตรมาสที่ผ่านมา อีกทั้งตลาดได้คาดหมายว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องในการประชุมนโยบายทางการเงินครั้งถัดไป แม้ว่าอัตราดอกเบี้ย FED Fund ในสหรัฐจะปรับลดลงมาอย่างมาก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.25

ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่า ตลาดยังมีการคาดการณ์ถึงการประชุมครั้งถัดไปในช่วงสิ้นเดือนเมษายนของธนาคารกลางสหรัฐ จะมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นจากหนี้เสียในสหรัฐ และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้เข้าสู่สภาวะถดถอย

จากการที่ตลาดคาดหมายว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังคงไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ประกอบกับ แนวโน้มปริมาณการออกพันธบัตรรัฐบาลอายุปานกลางถึงยาวเพื่อรองรับการขาดดุลงบประมาณการคลัง และการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงระหว่างไตรมาส

อย่างไรก็ตามเส้นอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรในตลาดตราสารหนี้ได้ปรับลดลงในทุกช่วงอายุเมื่อเทียบกับช่วงต้นปีดังนี้ พันธบัตรอายุ 1 เดือนลดลง 0.12% อยู่ที่ร้อยละ 3.03 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.15 พันธบัตรอายุ 3 เดือนลดลง 0.26% อยู่ที่ร้อยละ 2.93 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.19และพันธบัตรอายุ 1 ปีลดลง 0.61% อยู่ที่ร้อยละ 2.94 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.55

ส่วนพันธบัตรอายุ 2 ปีลดลง 0.81% อยู่ที่ร้อยละ 3.10 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.91 พันธบัตรอายุ 5 ปีลดลง 0.69% อยู่ที่ร้อยละ 3.80 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 4.49 พันธบัตรอายุ 7 ปีลดลง 0.49% อยู่ที่ร้อยละ 4.20 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 4.69 และพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 0.32% อยู่ที่ร้อยละ 4.62 เมื่อเทียบกับในไตรมาสที่ 4 ของปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 4.94

ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลปิดที่ระดับ 172.67 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น ประมาณ 3.4% จากช่วงต้นปี ขณะที่ดัชนีหุ้นกู้เอกชนยังคงปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2.9% โดยมาปิดที่ระดับ 147.48 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น