บลจ.ฟิลลิป เปิดตัวกอง RMF กองแรก เน้นความมั่นคงสูง ด้วยการลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรแบงก์ชาติ และตราสารหนี้เอกชนที่เรตติ้ง AA ขึ้นไปเท่านั้น มั่นใจผลตอบแทนที่ได้จะทำให้นักลงทุนพอใจ พร้อมเล็งออกกอง RMF แบบผสมเพิ่มหลังจากนี้ หวังใช้เป็นทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการสับเปลี่ยน หรือสามารถรับความเสี่ยงที่สูงกว่าได้
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บลจ.ฟิลลิป ว่าได้เสนอขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ภายใต้การบริหารเป็นกองแรก โดยใช้ชื่อว่า “กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ” (PHILLIP FIXED INCOME RETIREMENT MUTUAL FUND) หรือ PFIXRMF ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 10-18 มีนาคม 2551 โดยกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 5 พันบาท
ทั้งนี้ กองทุน PFIXRMF จะมีจุดเด่นจากการเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากสามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ โดยกองทุนนี้จะเน้นการลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และรัฐวิสาหกิจ รวมถึงตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสัดส่วนในการลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่ต่ำ และจะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรของแบงก์ชาติมากว่า ส่วนตราสารหนี้เอกชนจะต้องมีอันดับอยู่ที่ AA ขึ้นไปเท่านั้น บริษัทถึงจะพิจารณาเข้าไปลงทุน
"กองทุนนี้เราจะเน้นให้มีความเสี่ยงที่ต่ำ โดยจะดูในเรื่องของเรตติ้งเป็นหลัก เพราะการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ ลูกค้าจะต้องอยู่กับเรานานอย่างน้อยก็ 5 ปีก่อนที่สามารถถอนหน่วยลงทุนได้ ทำให้จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้เป็นสำคัญ เนื่องจากหากมีปัญหาขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเราเองจะต้องป้องกันในเรื่องนี้ และถือเป็นการรักษาสัญญากับลูกค้าว่าเราจะลงทุนเฉพาะตราสารที่มีคุณภาพดี โดยเมื่อเปิดพอร์ตออกมาต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เอาเครดิตที่ต่ำกว่ามาคละกัน"นายวรรธนะกล่าว
สำหรับตัวชี้วัด (Benchmark) ของกองทุนที่บริษัทจะนำมาอ้างอิง ได้แก่ ค่าเฉลี่ยระหว่าง ThaiBMA Government Bond Index (Total Return Index) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยประเภทบุคคลธรรมดาวงเงิน 1 ล้านบาท มีระยะเวลา 1 ปีของธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย ์จํากัด (มหาชน) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า แม้ว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับน่าจะไม่หวือหวามากนัก แต่ก็เป็นอัตราที่น่าจะพอใจ เนื่องจากดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่กองทุนนี้จะเน้นที่ความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่จะลงทุน โดยจะต้องอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพราะจะเป็นการออมในระยะยาว และเป็นการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ และหากการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลจาก 3 แสนบาทเป็น 5 แสนบาทมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2551 คาดว่าจะมีนักลงทุนให้ความสนใจกับกองทุนนี้มากขึ้น
“กองทุนนี้จะเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เพื่อเป็นหลักประกันเงินออมในอนาคตตัวเอง และผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี รวมถึงผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ เพื่อการบริหารเงินลงทุนในส่วนที่ยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ได้"นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถออกกองทุน RMF ที่มีการลงทุนผสมอีก 1 กองในช่วงหลังจากนี้ เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน หรือสับเปลี่ยนไปมากับกองทุนนี้ได้ โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแนวทาง ก่อนที่จะยื่นขออนุมัติจาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ส่วนแนวโน้มการออกกองทุนประเภทอื่นของบริษัทหลังจากนี้คงจะต้องพิจารณาอีกครั้ง โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในหุ้น เนื่องจากสถานการณ์ ตลาดหุ้นภายในประเทศไทยที่ผ่านมาค่อนข้างแกว่งตัวเป็นอย่างมาก และกองทุนตราสารหนี้จะเป็นการลงทุนที่บริษัทถนัด และที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้ดีอย่างเช่น กองมันนี่มาร์เกต ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 3.09% ในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ บลจ.ฟิลลิป ว่าได้เสนอขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF ภายใต้การบริหารเป็นกองแรก โดยใช้ชื่อว่า “กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ” (PHILLIP FIXED INCOME RETIREMENT MUTUAL FUND) หรือ PFIXRMF ซึ่งมีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และจะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 10-18 มีนาคม 2551 โดยกำหนดการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 5 พันบาท
ทั้งนี้ กองทุน PFIXRMF จะมีจุดเด่นจากการเป็นกองทุนที่มีสภาพคล่องสูง เนื่องจากสามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ โดยกองทุนนี้จะเน้นการลงทุนในตั๋วเงินคลัง พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และรัฐวิสาหกิจ รวมถึงตราสารหนี้เอกชนที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับสามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสัดส่วนในการลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่ต่ำ และจะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรของแบงก์ชาติมากว่า ส่วนตราสารหนี้เอกชนจะต้องมีอันดับอยู่ที่ AA ขึ้นไปเท่านั้น บริษัทถึงจะพิจารณาเข้าไปลงทุน
"กองทุนนี้เราจะเน้นให้มีความเสี่ยงที่ต่ำ โดยจะดูในเรื่องของเรตติ้งเป็นหลัก เพราะการลงทุนในกองทุนประเภทนี้ ลูกค้าจะต้องอยู่กับเรานานอย่างน้อยก็ 5 ปีก่อนที่สามารถถอนหน่วยลงทุนได้ ทำให้จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้เป็นสำคัญ เนื่องจากหากมีปัญหาขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเราเองจะต้องป้องกันในเรื่องนี้ และถือเป็นการรักษาสัญญากับลูกค้าว่าเราจะลงทุนเฉพาะตราสารที่มีคุณภาพดี โดยเมื่อเปิดพอร์ตออกมาต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เอาเครดิตที่ต่ำกว่ามาคละกัน"นายวรรธนะกล่าว
สำหรับตัวชี้วัด (Benchmark) ของกองทุนที่บริษัทจะนำมาอ้างอิง ได้แก่ ค่าเฉลี่ยระหว่าง ThaiBMA Government Bond Index (Total Return Index) และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยประเภทบุคคลธรรมดาวงเงิน 1 ล้านบาท มีระยะเวลา 1 ปีของธนาคารพาณิชย์ 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จํากัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย ์จํากัด (มหาชน) ในสัดส่วนที่เท่ากัน
นายวรรธนะ กล่าวอีกว่า แม้ว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับน่าจะไม่หวือหวามากนัก แต่ก็เป็นอัตราที่น่าจะพอใจ เนื่องจากดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ แต่กองทุนนี้จะเน้นที่ความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่จะลงทุน โดยจะต้องอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เพราะจะเป็นการออมในระยะยาว และเป็นการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ และหากการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลจาก 3 แสนบาทเป็น 5 แสนบาทมีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2551 คาดว่าจะมีนักลงทุนให้ความสนใจกับกองทุนนี้มากขึ้น
“กองทุนนี้จะเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ เพื่อเป็นหลักประกันเงินออมในอนาคตตัวเอง และผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี รวมถึงผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพ เพื่อการบริหารเงินลงทุนในส่วนที่ยอมรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ได้"นายวรรธนะกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถออกกองทุน RMF ที่มีการลงทุนผสมอีก 1 กองในช่วงหลังจากนี้ เพื่อให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน หรือสับเปลี่ยนไปมากับกองทุนนี้ได้ โดยขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแนวทาง ก่อนที่จะยื่นขออนุมัติจาก คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ส่วนแนวโน้มการออกกองทุนประเภทอื่นของบริษัทหลังจากนี้คงจะต้องพิจารณาอีกครั้ง โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในหุ้น เนื่องจากสถานการณ์ ตลาดหุ้นภายในประเทศไทยที่ผ่านมาค่อนข้างแกว่งตัวเป็นอย่างมาก และกองทุนตราสารหนี้จะเป็นการลงทุนที่บริษัทถนัด และที่ผ่านมาสามารถทำผลตอบแทนได้ดีอย่างเช่น กองมันนี่มาร์เกต ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 3.09% ในช่วง 3 เดือนย้อนหลัง