บลจ.แอสเซทพลัส เปิดตลาดกองทุนเครดิตลิงค์โน้ต เตรียมคลอด "แอสเซทพลัสพรีเมี่ยม 6M2" มูลค่า 1,700 ล้านบาท ลงทุนระยะสั้น 6 เดือนในเครดิตลิงค์โน้ตที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยในต่างประเทศ และพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ คาดให้ผลตอบแทนที่ 3.1% ต่อปี เปิดไอพีโอ 25ก.พ.ถึง 3 มี.ค.นี้ เผยจ่อคิวออก FIF อีก 1 กองไตรมาสแรก เน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตสูง เล็งปั้นกองทุน Index Enhanced หวังดัชนี SETขาขึ้นช่วยดันผลตอบแทน
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยม 6M2 (ASP-Premium 6M2 : ASP-P6M2) มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่ลงทุนในหุ้น ที่มีนโยบายลงทุนในเครดิตลิงค์โน้ต (Credit Link Note) ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยในต่างประเทศ (Kingdom of Thailand Bond, Rating BBB+ โดย S&P) และพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Rating A โดย S&P) และมีรอบระยะเวลาการลงทุนสั้นๆ ทุก 6 เดือนโดยประมาณ โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2551 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
สำหรับกองทุนดังกล่าวจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100% (Fully Hedge) โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 3.1% ต่อปี เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยมีทิศทางปรับตัวลดลง ซึ่งระยะเวลาการลงทุน 6 เดือนจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และไม่ต้องมาระมัดระวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ เครดิตลิงค์โน้ตถือเป็นตราสารทางการเงินใหม่ ที่ใช้นวัตกรรมทางการเงินมาช่วยบริหารผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุน โดยสถาบันการเงินที่ออกตราสารดังกล่าวจะจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ที่หลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาล จึงถือได้ว่าระดับความเสี่ยงของการที่จะผิดนัดชำระไม่มีเลย (Risk free) รวมถึงการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Fully hedged) ทำให้กองทุนไม่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่เน้นลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้
นางลดาวรรณ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทจะออกกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ประเภท Fund of Fund อีก 1 กองทุน โดยเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลก ที่เน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ บริษัทจะออกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ใช้อนุพันธ์มาเป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลตอบแทนตามการปรับขึ้นของดัชนี SET50 (Index Enhanced) ซึ่งทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับตัวของดัชนี SET50 ที่อยู่ในขาขึ้น โดยเหมาะกับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้น แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดหุ้น และมีการคุ้มครองเงินต้นด้วย
ด้านนายวสุ สุทธิพงษ์ชัย ผู้จัดการกองทุน บลจ.แอสเซทพลัส กล่าวว่า กองทุน ASP-P6M2 จะลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยในต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB+ ขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard & Poor (S&P) และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไปจาก S&P เช่นกัน โดยเป็นตราสารการเงินแบบกึ่งรัฐบาล โดยมีธนาคารพาณิชย์ของต่างชาติเป็นผู้ออกตราสาร
ส่วนปัญหาความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) จะหมดไป เนื่องจากเป็นตราสารทางการเงินของรัฐบาล และหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 0.50% ทำให้ผลตอบแทนของเครดิตลิงค์โน้ตใกล้เคียงกับตราสารหนี้ประเภท ECP (Euro commercial Paper) แต่ยังสูงกว่าเล็กน้อย ทั้งนี้ ปัจจุบัน ECP ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 2-7-2.8%
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสพรีเมี่ยม 6M2 (ASP-Premium 6M2 : ASP-P6M2) มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมที่ไม่ลงทุนในหุ้น ที่มีนโยบายลงทุนในเครดิตลิงค์โน้ต (Credit Link Note) ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยในต่างประเทศ (Kingdom of Thailand Bond, Rating BBB+ โดย S&P) และพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ (Rating A โดย S&P) และมีรอบระยะเวลาการลงทุนสั้นๆ ทุก 6 เดือนโดยประมาณ โดยจะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 3 มีนาคม 2551 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
สำหรับกองทุนดังกล่าวจะมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน 100% (Fully Hedge) โดยคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 3.1% ต่อปี เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยมีทิศทางปรับตัวลดลง ซึ่งระยะเวลาการลงทุน 6 เดือนจึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม และไม่ต้องมาระมัดระวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ เครดิตลิงค์โน้ตถือเป็นตราสารทางการเงินใหม่ ที่ใช้นวัตกรรมทางการเงินมาช่วยบริหารผลตอบแทนและความเสี่ยงจากการลงทุน โดยสถาบันการเงินที่ออกตราสารดังกล่าวจะจ่ายคืนเงินต้นและผลตอบแทนให้กับนักลงทุน ที่หลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาล จึงถือได้ว่าระดับความเสี่ยงของการที่จะผิดนัดชำระไม่มีเลย (Risk free) รวมถึงการปิดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Fully hedged) ทำให้กองทุนไม่มีความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน จึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่เน้นลงทุนเฉพาะในตราสารหนี้
นางลดาวรรณ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทจะออกกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ประเภท Fund of Fund อีก 1 กองทุน โดยเป็นกองทุนหุ้นต่างประเทศที่บริหารโดยบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลก ที่เน้นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่มีแนวโน้มเติบโตสูง และได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ บริษัทจะออกกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ใช้อนุพันธ์มาเป็นเครื่องมือในการเพิ่มผลตอบแทนตามการปรับขึ้นของดัชนี SET50 (Index Enhanced) ซึ่งทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการปรับตัวของดัชนี SET50 ที่อยู่ในขาขึ้น โดยเหมาะกับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้น แต่ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดหุ้น และมีการคุ้มครองเงินต้นด้วย
ด้านนายวสุ สุทธิพงษ์ชัย ผู้จัดการกองทุน บลจ.แอสเซทพลัส กล่าวว่า กองทุน ASP-P6M2 จะลงทุนในหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นพันธบัตรรัฐบาลไทยในต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ BBB+ ขึ้นไปจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Standard & Poor (S&P) และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A ขึ้นไปจาก S&P เช่นกัน โดยเป็นตราสารการเงินแบบกึ่งรัฐบาล โดยมีธนาคารพาณิชย์ของต่างชาติเป็นผู้ออกตราสาร
ส่วนปัญหาความกังวลในเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐอเมริกา (ซับไพรม์) จะหมดไป เนื่องจากเป็นตราสารทางการเงินของรัฐบาล และหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 0.50% ทำให้ผลตอบแทนของเครดิตลิงค์โน้ตใกล้เคียงกับตราสารหนี้ประเภท ECP (Euro commercial Paper) แต่ยังสูงกว่าเล็กน้อย ทั้งนี้ ปัจจุบัน ECP ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 2-7-2.8%