ปี 2550 ผ่านไปแล้ว ต้อนรับปี 2551 แทน...ปีที่ผ่านมา แม้ว่าการลงทุนจะมีความผันผวนแต่โดยรวมแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนเป็นบวกจากต้นปี ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ แม้ว่าอาจจะให้ผลตอบแทนไม่มากนัก แต่ก็จัดเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน เห็นได้จากยอดการลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ทั้งที่ลงทุนในประเทศ หรือที่ลงทุนผ่านตราสารหนี้ประเภท ECP ก็ยังคงได้รับความนิยมสูง จนเรียกว่า ออกมากี่กองๆ ก็ขายเกลี้ยงทันที
สำหรับปีที่แล้วนักลงทุนคนใดที่เลือกจับจังหวะลงทุนได้ถูกจุด ก็ยิ้มรับผลกำไรกันไป ส่วนใครที่ตามขบวนไม่ทัน หรือ จัดพอร์ตการลงทุนผิดพลาด ก็อย่าไปผูกติดกับอดีต เตรียมตัวสู่ศึกปีนี้กันใหม่ วันนี้ "MutualFund Guideline" จึงรวบรวมความคิดเห็นและแนวทางการลงทุนจากบรรดาผู้จัดการกองทุนว่าจะลงทุนอย่างไรให้ยิ้มรับผลตอบแทนที่น่าพอใจในปีหนูดินมาฝาก
วรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด ได้ให้คำแนะนำสำหรับการลงทุนในปีหนูว่า แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) เนื่องมาจากมองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกน่าจะยังคงอยู่ในขาลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ที่จะได้รับประโยชน์
ทั้งนี้ การเลือกลงทุนระหว่างกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ กับต่างประเทศนั้น คงจะต้องขึ้นอยู่กับนิสัยของผู้ลงทุนแต่ละบุคคล แต่ในช่วงครึ่งปีแรกจากแนวโน้มค่าเงินบางสกุล เช่น ดอลลาร์นิวซีแลนซ์ ที่น่าจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศที่มากกว่าตราสารหนี้ในไทย ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมีความน่าสนใจมากกว่า อย่างไรก็ตามการเลือกลงทุนคงต้องพิจารณาเรื่องสกุลเงินที่ตราสารเข้าไปลงทุนด้วย ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะเป็นอย่างไร คงจะต้องมีการพิจารณาแนวโน้มของค่าเงินอีกครั้งหนึ่ง
"ตอนนี้ส่วนตัวมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลก รวมทั้งของไทยน่าจะลดมากกว่าขึ้น เพราะเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯไม่ดี นอกจากนี้ปัจจัยภายในประเทศเราเองก็ยังไม่สดใสนัก แม้สถานการณ์จะดีขึ้น ทำให้มองว่าการที่ไทยจะขึ้นดอกเบี้ยสวนกระแสทั่วโลกคงจะเป็นเรื่องยาก โดยคิดว่าปีนี้ กนง.มีโอกาสที่จะ คง หรือ ลงดอกเบี้ยได้อีกประมาณ 0.50 -0.75% แต่ถ้าเศรษฐกิจทั่วโลกทรุดหนักกว่าที่คาด ก็อาจจะลดลงได้มากกว่านั้น" วรรธนะ กล่าว
นอกจากการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้แล้ว เขายังแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังตลาดทุนเพื่อสร้างความเป็นไปได้ที่จะรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย โดยกล่าวว่า อัตราส่วนการจัดสรรเงินลงทุนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล แต่ส่วนตัวมองว่าในการลงทุนควรแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตประมาณ 15-20% มาลงทุนในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้น ก็ควรจะมีการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงเช่นเดียวกัน โดยแนะนำให้กระจายเงินลงทุนไปลงทุนในตลาดทุนของประเทศในทวีปเอเชียแปซิฟิก เนื่องมาจากราคาหุ้นยังไม่สูงมากนัก และยังมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย และควรเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) มากกว่าการเข้าไปลงทุนด้วยตัวเอง เนื่องมาจากเป็นการลงทุนที่มีผู้ชำนาญการที่มีความรู้ และมีข้อมูล ในการดูแลผลตอบแทนให้
ส่วนที่เงินลงทุนที่เหลืออีกบางส่วน นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง แต่แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เพราะแม้ว่าปัจจัยภายในประเทศจะเป็นบวกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลถึงความผันผวนในอนาคต
สหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.วรรณ บอกว่า สำหรับการลงทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในขณะนี้ แนะนำว่า นักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายภายในประเทศ เนื่องมาจากมีความเสี่ยงน้อยและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มเอนเตอร์เทนเม้นท์ เป็นต้น
สำหรับภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ทำให้ประเทศสหรัฐฯ พบกับปัญหาคนว่างงาน ตลอดจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จนส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัวลดลงกันอย่างถ้วนหน้า รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างปัญหาด้านการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งหลังจากนี้ความผันผวนจะลดลงหรือไม่ คงจะต้องขึ้นอยู่กับว่าพรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติได้มากน้อยเพียงใด
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา บอกถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 ว่า การลงทุนคงจะมีความยากเพิ่มมากขึ้น และจากความผันผวนในตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกในการลดความเสี่ยงและความผันผวนในการลงทุนได้ดี
"หลังจากก.ล.ต.อนุญาติให้บรรดาบลจ.ต่างๆออกไปลงทุนยังต่างประเทศได้หลากหลาย หลายบริษัทได้ออกกองทุนเอฟไอเอฟ ซึ่งกองทุนตราสารทุนส่วนใหญ่จะลงทุนในลักษณะ Fund of Fund ส่วนกองทุนตราสารหนี้ มักจะเป็นการเข้าไปลงทุนโดยตรง แต่ก่อนที่นักลงทุนจะตัดสินใจเข้าไปลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟได้ ควรจะต้องพิจารณา นโยบายการลงทุน แนวโน้มของค่าเงินบาทกับค่าเงินสกุลที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน และการป้องกันความเสี่ยงของการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกลงทุนด้วย"
สำหรับปีที่แล้วนักลงทุนคนใดที่เลือกจับจังหวะลงทุนได้ถูกจุด ก็ยิ้มรับผลกำไรกันไป ส่วนใครที่ตามขบวนไม่ทัน หรือ จัดพอร์ตการลงทุนผิดพลาด ก็อย่าไปผูกติดกับอดีต เตรียมตัวสู่ศึกปีนี้กันใหม่ วันนี้ "MutualFund Guideline" จึงรวบรวมความคิดเห็นและแนวทางการลงทุนจากบรรดาผู้จัดการกองทุนว่าจะลงทุนอย่างไรให้ยิ้มรับผลตอบแทนที่น่าพอใจในปีหนูดินมาฝาก
วรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟิลลิป จำกัด ได้ให้คำแนะนำสำหรับการลงทุนในปีหนูว่า แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ (Fixed Income) เนื่องมาจากมองแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกน่าจะยังคงอยู่ในขาลง ซึ่งส่งผลดีต่อการลงทุนในตราสารหนี้ที่จะได้รับประโยชน์
ทั้งนี้ การเลือกลงทุนระหว่างกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ กับต่างประเทศนั้น คงจะต้องขึ้นอยู่กับนิสัยของผู้ลงทุนแต่ละบุคคล แต่ในช่วงครึ่งปีแรกจากแนวโน้มค่าเงินบางสกุล เช่น ดอลลาร์นิวซีแลนซ์ ที่น่าจะแข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลตอบแทนของตราสารหนี้ต่างประเทศที่มากกว่าตราสารหนี้ในไทย ทำให้การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมีความน่าสนใจมากกว่า อย่างไรก็ตามการเลือกลงทุนคงต้องพิจารณาเรื่องสกุลเงินที่ตราสารเข้าไปลงทุนด้วย ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศจะเป็นอย่างไร คงจะต้องมีการพิจารณาแนวโน้มของค่าเงินอีกครั้งหนึ่ง
"ตอนนี้ส่วนตัวมองว่าแนวโน้มดอกเบี้ยทั่วโลก รวมทั้งของไทยน่าจะลดมากกว่าขึ้น เพราะเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯไม่ดี นอกจากนี้ปัจจัยภายในประเทศเราเองก็ยังไม่สดใสนัก แม้สถานการณ์จะดีขึ้น ทำให้มองว่าการที่ไทยจะขึ้นดอกเบี้ยสวนกระแสทั่วโลกคงจะเป็นเรื่องยาก โดยคิดว่าปีนี้ กนง.มีโอกาสที่จะ คง หรือ ลงดอกเบี้ยได้อีกประมาณ 0.50 -0.75% แต่ถ้าเศรษฐกิจทั่วโลกทรุดหนักกว่าที่คาด ก็อาจจะลดลงได้มากกว่านั้น" วรรธนะ กล่าว
นอกจากการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้แล้ว เขายังแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังตลาดทุนเพื่อสร้างความเป็นไปได้ที่จะรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย โดยกล่าวว่า อัตราส่วนการจัดสรรเงินลงทุนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล แต่ส่วนตัวมองว่าในการลงทุนควรแบ่งเงินลงทุนในพอร์ตประมาณ 15-20% มาลงทุนในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้น ก็ควรจะมีการกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงเช่นเดียวกัน โดยแนะนำให้กระจายเงินลงทุนไปลงทุนในตลาดทุนของประเทศในทวีปเอเชียแปซิฟิก เนื่องมาจากราคาหุ้นยังไม่สูงมากนัก และยังมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย และควรเลือกลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในมีนโยบายลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) มากกว่าการเข้าไปลงทุนด้วยตัวเอง เนื่องมาจากเป็นการลงทุนที่มีผู้ชำนาญการที่มีความรู้ และมีข้อมูล ในการดูแลผลตอบแทนให้
ส่วนที่เงินลงทุนที่เหลืออีกบางส่วน นักลงทุนอาจพิจารณาเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง แต่แนะนำให้ใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เพราะแม้ว่าปัจจัยภายในประเทศจะเป็นบวกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งอาจจะส่งผลถึงความผันผวนในอนาคต
สหัทยา สรรค์ประสิทธิ์ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.วรรณ บอกว่า สำหรับการลงทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนในขณะนี้ แนะนำว่า นักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นที่เกี่ยวกับการใช้จ่ายภายในประเทศ เนื่องมาจากมีความเสี่ยงน้อยและสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอุปโภคบริโภค กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มเอนเตอร์เทนเม้นท์ เป็นต้น
สำหรับภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ที่ทำให้ประเทศสหรัฐฯ พบกับปัญหาคนว่างงาน ตลอดจนส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง จนส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัวลดลงกันอย่างถ้วนหน้า รวมถึงปัจจัยภายในประเทศอย่างปัญหาด้านการเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ซึ่งหลังจากนี้ความผันผวนจะลดลงหรือไม่ คงจะต้องขึ้นอยู่กับว่าพรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนต่างชาติได้มากน้อยเพียงใด
ประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา บอกถึงมุมมองการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2551 ว่า การลงทุนคงจะมีความยากเพิ่มมากขึ้น และจากความผันผวนในตลาดหุ้น ทำให้นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศเป็นอีกทางเลือกในการลดความเสี่ยงและความผันผวนในการลงทุนได้ดี
"หลังจากก.ล.ต.อนุญาติให้บรรดาบลจ.ต่างๆออกไปลงทุนยังต่างประเทศได้หลากหลาย หลายบริษัทได้ออกกองทุนเอฟไอเอฟ ซึ่งกองทุนตราสารทุนส่วนใหญ่จะลงทุนในลักษณะ Fund of Fund ส่วนกองทุนตราสารหนี้ มักจะเป็นการเข้าไปลงทุนโดยตรง แต่ก่อนที่นักลงทุนจะตัดสินใจเข้าไปลงทุนในกองทุนเอฟไอเอฟได้ ควรจะต้องพิจารณา นโยบายการลงทุน แนวโน้มของค่าเงินบาทกับค่าเงินสกุลที่กองทุนจะเข้าไปลงทุน และการป้องกันความเสี่ยงของการลงทุนของกองทุนนั้นๆ ประกอบการตัดสินใจก่อนเลือกลงทุนด้วย"