บลจ.วรรณพอใจผลงานปีหมู โกยเงินเข้าพอร์ตเอยูเอ้มเพื่อขึ้นเป็น 62,831 ล้านบาท หรือเติบโต 9% โดยได้อานิสงส์กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริหารให้กับ กฟน. และ TDEX ช่วยหนุน เผยกลยุทธ์การลงทุนปีนี้ เน้นใช้ความสมดุลเอาชนะความผันผวน เชื่อตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ ประเดิมเสนอขาย FIF ตราสารหนี้ ต้นเดือนหน้า
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมกองทุนรวมในปี 2550 ค่อนข้างดี โดยมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) เพิ่มขึ้นเป็น 62,831 ล้านบาท จากในปี 2549 ที่มีอยู่ประมาณ 57,469 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 9% ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดใปีที่ผ่านมาคือ การที่มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง ETF (Exchange Traded Fund) ที่มีลักษณะการลงทุนเหมือนกับการลงทุนในดัชนี 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาให้นักลงทุนได้กระจายการลงทุน ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าและทางเลือกให้กับนักลงทุนอย่างแท้จริง โดยกองทุนหลักที่เติบโตมากที่สุดคือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริหารให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประมาณ 4,500 ล้านบาท และกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ (TDEX) ประมาณ 2,400 ล้านบาท
สำหรับกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (FIF) มีการเจริญเติบโตไม่มาก แต่สามารถให้อัตราผลตอบแทนค่อนข้างสูง โดยกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มโกลบอลอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตเอควิตี้ (1AM-GEM) สามารถให้ผลตอบแทนที่ระดับ 22% ขณะที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนเช่นกัน โดยกองทุนเปิดเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว (1S-LTF) สามารถให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 37.3% ส่วนกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มเซ็ท50 (1AMSET50) ได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก เป็นอันดับต้นๆ โดยสามารถให้ผลตอบแทนถึง 39% กองทุนเปิดหุ้นคุณค่าเพื่อการเลี้ยงชีพ (V-RMF) สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 37.5% นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเปิดวรรณเดลี่ (1AM-DAILY) ที่เป็นตัวแทนทางเลือกที่มีลักษณะคล้ายกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ แต่ยังไม่ระบุมูลค่าโครงการแต่อย่างใด คาดว่าจะเสนอขายได้ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายสมจินต์ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในปีนี้จะเน้นการกระจายการลงทุนให้มีความสมดุลเป็นสำคัญ เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของโลก โดยเป็นสิ่งที่จะต้องจับตากันต่อไป แต่มีข้อดีการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ เชื่อว่าจะมีมาตรการออกมารองรับ และจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของโลกด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อตลาดทุนตามธรรมชาติ โดยการลดดอกเบี้ยจะมีผลกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวต่อไปอีก และส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย
อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาหุ้น มองว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยยังดี เชื่อว่าการที่ราคาหุ้นตกก็จะมีผู้สนใจเข้าไปซื้อหุ้น เนื่องจาก P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ หากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร โดยยังมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะเหมือนกัน ส่วนในแง่ของการลงทุน การกระจายลงทุนในหุ้นบางส่วน พันธบัตรบางส่วน เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุน ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หากมีกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ก็พร้อมจะนำเสนอเป็นทางเลือกของการลงทุน
"นักลงทุนควรลงทุนอย่างมีสติ การทยอยลงทุนเป็นเรื่องที่ดี การที่ราคาหุ้นตกลงมา บางครั้งเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุน แต่ควรติดตามสภาวะตลาดอยู่ตลอดเวลา และพิจารณาเลือกลงทุนอย่างมีสติ"นายสมจินต์กล่าว
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมกองทุนรวมในปี 2550 ค่อนข้างดี โดยมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (เอยูเอ็ม) เพิ่มขึ้นเป็น 62,831 ล้านบาท จากในปี 2549 ที่มีอยู่ประมาณ 57,469 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตประมาณ 9% ซึ่งถือว่าเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่สิ่งสำคัญที่สุดใปีที่ผ่านมาคือ การที่มีโอกาสนำผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง ETF (Exchange Traded Fund) ที่มีลักษณะการลงทุนเหมือนกับการลงทุนในดัชนี 50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาให้นักลงทุนได้กระจายการลงทุน ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าและทางเลือกให้กับนักลงทุนอย่างแท้จริง โดยกองทุนหลักที่เติบโตมากที่สุดคือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริหารให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประมาณ 4,500 ล้านบาท และกองทุนเปิดไทยเด็กซ์เซ็ท50อีทีเอฟ (TDEX) ประมาณ 2,400 ล้านบาท
สำหรับกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ (FIF) มีการเจริญเติบโตไม่มาก แต่สามารถให้อัตราผลตอบแทนค่อนข้างสูง โดยกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มโกลบอลอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ตเอควิตี้ (1AM-GEM) สามารถให้ผลตอบแทนที่ระดับ 22% ขณะที่กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ถือว่าเป็นที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนเช่นกัน โดยกองทุนเปิดเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว (1S-LTF) สามารถให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ 37.3% ส่วนกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มเซ็ท50 (1AMSET50) ได้รับผลตอบแทนที่ดีมาก เป็นอันดับต้นๆ โดยสามารถให้ผลตอบแทนถึง 39% กองทุนเปิดหุ้นคุณค่าเพื่อการเลี้ยงชีพ (V-RMF) สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 37.5% นอกจากนี้ ยังมีกองทุนเปิดวรรณเดลี่ (1AM-DAILY) ที่เป็นตัวแทนทางเลือกที่มีลักษณะคล้ายกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ แต่ยังไม่ระบุมูลค่าโครงการแต่อย่างใด คาดว่าจะเสนอขายได้ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายสมจินต์ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในปีนี้จะเน้นการกระจายการลงทุนให้มีความสมดุลเป็นสำคัญ เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ของโลก โดยเป็นสิ่งที่จะต้องจับตากันต่อไป แต่มีข้อดีการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ เชื่อว่าจะมีมาตรการออกมารองรับ และจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของโลกด้วย ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะมีผลต่อตลาดทุนตามธรรมชาติ โดยการลดดอกเบี้ยจะมีผลกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวต่อไปอีก และส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาด้วย
อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาหุ้น มองว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยยังดี เชื่อว่าการที่ราคาหุ้นตกก็จะมีผู้สนใจเข้าไปซื้อหุ้น เนื่องจาก P/E ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 11 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ หากเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนของพันธบัตร โดยยังมีแรงซื้อเข้ามาเป็นระยะเหมือนกัน ส่วนในแง่ของการลงทุน การกระจายลงทุนในหุ้นบางส่วน พันธบัตรบางส่วน เป็นกลยุทธ์พื้นฐานที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุน ส่วนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หากมีกองทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ก็พร้อมจะนำเสนอเป็นทางเลือกของการลงทุน
"นักลงทุนควรลงทุนอย่างมีสติ การทยอยลงทุนเป็นเรื่องที่ดี การที่ราคาหุ้นตกลงมา บางครั้งเป็นโอกาสที่ดีของการลงทุน แต่ควรติดตามสภาวะตลาดอยู่ตลอดเวลา และพิจารณาเลือกลงทุนอย่างมีสติ"นายสมจินต์กล่าว