xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.หวังราคาทองดันกองทุนทอง"บีที"ไม่ห่วงยิลด์ต่ำกว่าเกณฑ์เหตุลงทุนยังไม่จบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.หวังอานิสงส์ราคาทองคำพุ่ง ดันผลตอบแทนกองทุนทองคำ "บีที" เผยผลงาน 3 กองทุนเป็นบวกเล็กน้อย แจงผู้ถือหน่วยลงทุนอย่าวิตกแม้ผลตอบแทนต่ำกว่าเกณฑ์ เพราะเพิ่งอยู่ในช่วงแรกของการลงทุนเท่านั้น มั่นใจครบอายุลงทุน 1 ปี ได้เห็นผลตอบแทนเป็นบวก ด้านไอเอ็นจี เป็นทองของคอมมอดิตี้ หลังราคาปรับขึ้น ฟุ้งดันเอ็นเอวี "ไอเอ็นจี โกลเด้นสตาร์ลิ้งค์" ขยับ ด้านกูรูประเมินราคาเฉลี่ยทั้งปีนี้อยู่ที่ 880-900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลด์ ลิงค์ คุ้มครองเงินต้น (BT-FIF-GPF 1) และ กองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลลิงค์ฟันด์ 2 ( BT-FIF-GPF 2) กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีผลตอบแทนอ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี ต่ำกว่าผลตอบแทนการลงทุนในทองคำในตลาดลอนดอน (ดอลลาร์) ที่ให้ผลตอบแทนที่ 3.65% ขณะที่ กองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลลิงค์ฟันด์ 3 ยังไม่สามารถผลตอบแทนได้ เนื่องจากเป็นกองทุนใหม่ ที่เปิดขายไปเมื่อระหว่างวันที่ 23 พฤศจิกายน – 4 ธันวาคม 2550 ที่ผ่านมา
โดยกองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลด์ ลิงค์ คุ้มครองเงินต้น ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (ลิ้นสุด ณ วันที่ 4 มกราคม 2551) ที่ 0.05% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนในทองคำในตลาดลอนดอนที่ 3.65% ย้อนหลัง 3 เดือน 0.64% เทียบกับผลตอบแทนการลงทุนในทองคำในตลาดลอนดอนที่ 18.16% และย้อนหลัง 6 เดือน 0.73% เทียบกับผลตอบแทนการลงทุนในทองคำในตลาดลอนดอนที่ 31.31% โดยผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (28 พ.ค. 50) อยู่ที่ -0.35% ส่วนกองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลลิงค์ฟันด์ 2 ให้ผลตอบแทนย้อนหลังย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี (ลิ้นสุด ณ วันที่ 4 มกราคม 2551)ที่ -0.24% และย้อนหลัง 3 เดือน -5.21% ขณะที่ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (17 ก.ย. 50) อยู่ที่ 0.04%
นายเจิดพันธุ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ผลตอบแทนของกองทุนเอฟไอเอฟให้ผลตอบแทนต่ำเมื่อเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนในทองคำในตลาดลอนดอนนั้น เนื่องจากกองทุนบีทีเอฟไอเอฟโกลลิงค์ฟันด์ 2 เพิ่งเริ่มจัดตั้งได้ไม่ถึง 1 ปี โดยกองทุนมีอายุไม่ถึง 6 เดือน ดังนั้นผลตอบแทนจากการลงทุนจำเป็นที่จะต้องใช้เวลา เพื่อปรับตัวขึ้นไปตามาลำดับ ซึ่งคาดว่าในอนาคตลูกค้ผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากกองทุนในระดับที่ดีแน่นอน
ทั้งนี้ กองทุนประเภทดังกล่าวเป็นการลงทุนในประเภท Structure note (กองทุนรวมตราสารหนี้จัดโครงสร้าง) ซึ่งผลตอบแทนของกองทุนจะเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อกองทุนใกล้ครบอายุ 1 ปี โดยกองทุนดังกล่าวจะสามารถให้ผลตอบแทนตามที่นโยบายกองทุนกำหนดได้ อีกทั้งกองทุนดังกล่าวยังอิงกับอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเงินในมาร์เก็ตทูมาร์เก็ต ดังนั้นผลตอบแทนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเองเมื่อใกล้ครบกำหนดระยะเวลา 1 ปีเช่นกัน
“กองทุนเอฟไอเอฟยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพราะแต่ละกองทุนยังมีอายุยังไม่ถึง 6 เดือน เพราะกองทุนของบริษัทมีกำหนดอายุโครงการ 1 ปี ดังนั้นค่าเงินจึงจะค่อยวิ่งเข้าหาเมื่อครบกำหนดอายุ ทั้งนี้นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีไม่ว่าผลตอบแทนจะเป็นบวกหรือลบ เพราะกองทุนดังกล่าวอิงกับอัตราแลกเปลี่ยน ในสกุลเงินออสเตรเลีย ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนมากกว่า”นายเจิดพันธุ์กล่าว
นายเจิดพันธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่วันนี้ 17 – 25 มกราคม 2551 บริษัทจะเปิดขายกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วยกองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 3/1 (BT Fixed Income 3/1 Fund) อายุโครงการ 3 เดือน และกองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 6/1 (BT Fixed Income 6/1 Fund) อายุโครงการ 6 เดือน โดยกองทุนมีมูลค่าโครงการละ 1,500 ล้านบาท โดยกองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 3/1 คาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 3.0-3.2% ต่อปี ส่วนกองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 6/1 คาดการณ์ผลตอบแทนประมาณ 3.1-3.3% ต่อปี
ก่อนหน้านี้ นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2551 น่าจะเป็นปีที่กองทุนที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี้)ประเภท ทองคำ และ พลังงานทดแทนจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องมาจากราคาทองคำที่พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็มีหลายบริษัทที่กำลังเตรียมแผนการออกกองทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทดังกล่าว เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ขณะเดียวกันกองทุนเปิด ไอเอ็นจี โกลเด้นสตาร์ลิ้งค์ ของบลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) นั้นได้รับอานิสงค์จากราคาทองคำสวิงตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน โดยราคาทองคำเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับเกือบ 900 เหรียญ/ออนซ์ ทำให้สินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (เอ็นเอวี) ของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ปัจจัยจากความหวังเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.50% ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในทองคำ ซึงเป็นอีกหนึ่งการลงทุนทางเลือกมากยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าในปี 2551 เอ็นเอวีของกองทุนทองคำ น่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท จากราคาทองคำที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีนี้
นายกัมพล จันทร์วิบูลย์ ผู้จัดการกองทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากในช่วงปี 2550 ต่อเนื่องถึงปีนี้ ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนทหารไทย โกลด์ ฟันด์ออกมาค่อนข้างดี โดยราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ปรับขึ้นมาก่อนเกิดปัญหาซับไพรม์เพราะมีปัจจัยจากความไปแน่นอนของโลกหลายอย่างแต่หลังจากปัญหาซับไพรม์ลุกลามทำให้มีการเทขายทองคำออกมาเป็นจำนวนมาก จนราคาปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 700 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก่อนจะปรับขึ้นมาที่ระดับกว่า 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์อีกครั้ง จากสภาพคล่องที่อัดฉีดเข้าระบบจนล้นตลาด ซึ่งทำให้นักลงทุนหันไปถือทองคำมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้ สำนักวิจัยหลายแห่งยังมองว่าจะยังอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 880-900 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์โดยปัจจัยที่จะหนุนให้ราคาปรับขึ้นดังกล่าว มองว่ามาจาก 2 ปัจจัยหลักนั่นคือแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราเงินเฟ้อ
"ปัจจุบันกองทุนเปิดทหารไทย โกลด์ ฟันด์ มีจำนวนเงินลงทุนอยู่ประมาณ 1,000 ล้านบาทซึ่งก่อนหน้านี้เองเคยมีเงินลงทุนสูงถึง 1,300 ล้านบาทแต่มีนักลงทุนบางส่วนขายทำกำไรออกไป อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำเองนักลงทุนต้องรับความเสี่ยงได้ เพราะราคาทองคำมีขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งใครที่ต้องการลงทุนในทองคำแนะนำให้ลงทุนไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพราะถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงเช่นกัน" นายกัมพลกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น