xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีปีหนูร่วงฉุดผลงานกองหุ้น"อเบอร์ดีน-ไทยพาณิชย์"กอดคอยิลด์ติดลบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดตลาดหุ้นปีหนูลางไม่ดี ดัชนีสุดสวิง ฉุดผลตอบแทนกองหุ้นค่าย "อเบอร์ดีน - ไทยพาณิชย์" ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีตัวแดง ผู้จัดการกองทุนหุ้นบลจ.ไทยพาณิชย์รับ เป็นผลตามสภาพตลาด เผยแผนรับมือด้วยการลดพอร์ตลงทุนกลุ่มพลังงานเหลือ 30% จากเดิมถืออยู่ 40-50% คาดครึ่งปีหลังดัชนีฟื้นกลับ ดันผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นปี 51 อยู่ที่ 10%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจผลประกอบการของกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตลาดทุนของ"ผู้จัดการรายวัน" พบว่า หลังจากที่ภาวะตลาดหุ้นเกิดความผันผวนและดัชนีปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดย ณ วันที่ 15 มกราคม 2551 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปิดที่ 779.79 จุด คิดเป็นการลดลงกว่า 78.31 จุด หรือ 9.12% จากดัชนีเปิดต้นปีที่ 858.10 จุด ส่งผลกระทบทำให้ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นในระบบส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันมีกองทุนหุ้นหลายกองทุนที่ให้ผลตอบแทนติดลบ

โดยจากการสำรวจผลประกอบการของกองทุนหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน และบลจ.ไทยพาณิชย์ ปรากฎว่ากองทุนหุ้นของทั้ง 2 บริษัทให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีติดลบ โดยกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบลจ.อเบอร์ดีน จำนวน 7 กองทุน ให้ผลตอบแทนในวันที่ 15 มกราคม 2551 ดังต่อไปนี้ กองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกรท ให้ผลการดำเนินการย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -5.90% , กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สยามลีดเดอร์ส ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -6.43% , กองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมอลแค็พ ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -4.24%

กองทุนเปิดอเบอร์ดีนไทย เอคควิตี้ ดีวิเด็น ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -4.03% กองทุนเปิด อเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -6.34% และกองทุนเปิดอเบอร์ดีน สมาร์ทแคปปิตอลเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -5.87% ขณะที่เกณฑ์มาตราฐานผลตอบแทนของดัชนีย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -9.13%

ขณะที่กองทุนหุ้นของบลจ.ไทยพาณิชย์ ก็ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ปลายปีติดลบเช่นเดียวกัน โดย ณ วันที่ 15 มกราคม 2551 กองทุนเปิด ไทยพาณิชย์เซ็ท อินเด็กซ์ ฟันด์ (SCBSET) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี -8.88% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง (SCBMF) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.10% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 2 (SCBMF2) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.27% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 3 (SCBMF3) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.13% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 4 (SCBMF4) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.03% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์มั่นคง 5 (SCBMF5) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -8.99% ,
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์เพิ่มผลมั่นคง (SCBPMO) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -5.43%
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ (SCBTS) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.03% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ 2 (SCBTS2) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -8.95% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ทวีทรัพย์ 3 (SCBTS3) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.07% , กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ธนอนันต์ (SCBDA) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -9.73% และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) ให้ผลการดำเนินการย้อนหลัง -7.03% จากดัชนีมาตรฐานตราสารทุนที่ให้ผลการดำเนินงานย้อนหลัง -9.13%

นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การที่ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นของบริษัทย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีปรับตัวลดลงจนติดลบนั้น เป็นผลตามสภาพตลาดโดยรวมที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามการปรับตัวลดลงของกองทุนหุ้นของบริษัทยังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการลดลงของผลตอบแทนในการลงทุนในดัชนี รวมทั้งคู่แข่งหลายราย

ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้มีการเตรียมความพร้อมในการรับสถานการณ์ตลาดที่มีความผันผวนสูงในระดับหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ โดยได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานลงเหลือประมาณ 30% จากเดิมที่มีน้ำหนักการลงทุนประมาณ 40-50% และได้ทำการเพิ่มการลงทุนในกลุ่มธนาคาร รวมทั้งเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสาร และอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม บางหลักทรัพย์แทน

นอกการการปรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นแล้ว บริษัทยังได้ใช้กลยุทธ์ รอจังหวะซื้อและเล่นหุ้นระยะสั้นในหลักทรัพย์ของบางบริษัทที่พื้นฐานยังดีแต่ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปค่อนข้างมาก

"ในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนีน่าจะเป็น Side way และ side way down โดยในเดือนมีนาคมน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของปีนี้ ซึ่งถ้าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ไม่มีปัญหา ดัชนีก็น่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง" นายวิชชุ กล่าว

ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าดัชนีน่าจะสามารถกลับมาเป็นขาขึ้น และมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากดัชนีช่วงต้นปีเช่นเดียวกัน โดยคาดการณ์ว่า ตลอดปีนี้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยน่าจะสามารถให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 10% ภายใต้การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP ประมาณ 4.5-4.6% และกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นประมาณ 10%
กำลังโหลดความคิดเห็น