xs
xsm
sm
md
lg

ยอดขายคืนLTFล๊อตแรกโผล่บลจ.ยังมั่นใจไม่ฉุดยอดเงินลงทุนรวม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.มั่นใจ ครบกำหนดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนแอลทีเอฟ ล็อตปี 47 ไม่ฉุดยอดเงินลงทุนรวมทั้งระบบ เหตุเม็ดเงินลงทุนช่วงแรกยังน้อยเมื่อเทียบกับปัจจุบัน อีกทั้งยังมีให้เลือกขายคืนอีกหลายช่วงเวลา “ไทยพาณิชย์” เผยวันแรก (2ม.ค.) มีขายคืนแล้ว 10 ล้านบาท ด้านผู้จัดการกองทุนร่วมแรงแนะผู้ถือลงทุนลุยต่อ หรือโยกย้ายไปกองอื่นเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่า

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จจัดการกองทุน (บลจ.)ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงการครบกำหนดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(แอลทีเอฟ) ที่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2547 ซึ่งได้ครบกำหนดแล้วตั้งแต่วานนี้ (2ม.ค.)ว่า มีลูกค้าขายคืนหน่วยลงทุนเพียงเล็กน้อย ซึ่งข้อมูลจากสาขาธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) ทั่วประเทศเมื่อวานนี้พบว่ามียอดเงินขายคืนหน่วยลงทุนกับบริษัทเพียง 10 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากหากเปรีบเทียบมูลค่าเงินลงทุนในกองทุนรวมแอลทีเอฟทั้งหมดของบริษัท

“สำหรับกองทุนแอลทีเอฟของบลจ.ไทยพาณิชย์นั้น ลูกค้าจะได้รับความสะดวกในการขายคืนหน่วยลงทุนได้มากกว่ารายอื่น เนื่องจากเรากำหนดช่วงเวลาขายคืนหน่วยลงทุนไว้หลายช่วงเวลา ซึ่งช่วยเพิ่มการตัดสินใจให้กับลูกค้าที่ต้องการขายคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ โดยในช่วงแรกเราเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในวันที่ 2- 16 มกราคมนี้ ขณะเดียวกันทาวบริษัทได้ส่งหนังสือเตือนผู้ถือหน่วยลงทุนรับทราบล่วงหน้าก่อนแล้วด้วย”

อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการธุรกิจกองทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ มั่นใจว่า แม้ลูกค้าจะขายคืนหน่วยลงทุนกองทุนรวมแอลทีเอฟที่จัดตั้งขึ้นปี 2547 ทั้งหมด ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนรวมของกองทุนดังกล่าวแต่อย่างเด เนื่องจากในปี 2547 ยังเป็นช่วงที่เปิดตัวกองทุนดังกล่าวเป็นครั้งแรก และยังมียอดเงินลงทุนรวมในสัดส่วนที่น้อย

“ในปีแรก ไทยพาณิชย์เรามียอดเงินลงทุนในแอลทีเอฟน้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ณ สิ้นมีเรามียอดเงินลงทุนผ่านกองทุนดังกล่าวประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านมาลูกค้าจะรับทราบถึงผลดำเนินงานที่ดีมาโดยตลอด อีกทั้งรู้ว่าเรามีช่วงเวลาการรับซื้อให้พิจารณาได้อย่างหลากหลาย นอกจากนี้เราได้ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ลูกค้าพิจารณาลงทุนต่อ อย่างต่อเนื่อง”

นายนที ดำรงกิจการ ผู้จัดการกองทุน บลจ.นครหลวงไทย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า แม้จะมีผู้ถือหน่วยขายคืนหน่วยกองทุนแอลทีเอฟ รุ่นแรกออกมา แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนโดยรวมของกองทุนประเภทดังกล่าวแน่ เนื่องจากมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบ เม็ดเงินลงทุนรวมในปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน กำหนดการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนของแต่ละบลจ.นั้น ไม่ได้เปิดรับซื้อคืนภายในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งแต่ละกองทุนจะกำหนดวันให้นักลงทุนขายคืนได้แตกต่างกันไป แม้ส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในครึ่งแรกของเดือนมกราคมก็ตาม

“มองว่า จะมีด้วยกัน 2 ส่วน ส่วนแรกคือจะขายออกมาหลังจากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและกำไรจากผลตอบแทนมาแล้ว ขณะที่อีกกลุ่มอาจจะถือหน่วยต่อไปหรือโยกเงินลงทุนสู่กองทุนอื่นๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า”
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา เปิดเผยว่า การครบกำหนดอายุการขายหน่วยลงทุนของกองทุนหุ้นระยะยาวในต้นปีนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะมีนักลงทุนขายหน่วยลงทุนที่ครบกำหนดอายุออกมา สำหรับบลจ.อยุธยาจะเปิดให้ขายคืนหน่วยลงทุนหุ้นระยะยาวที่ครบกำหนดครั้งแรกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ อย่างไรก็ตามการขายคืนหน่วยลงทุนคงจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนักลงทุนแต่ละคนด้วย แต่อาจจะทำให้มีนักลงทุนบางส่วนขายหน่วยลงทุนเพื่อสับเปลี่ยนไปลงทุนยังกองทุนอื่นๆแทน

ทั้งนี้แม้ว่านักลงทุนขายหน่วยลงทุนออกมา แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการภาพรวมของกองทุนหุ้นระยะยาว เนื่องมาจากเม็ดเงินลงทุนที่จะครบกำหนดในครั้งนี้นั้น เป็นเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนในยุคแรกหลังจากที่ภาครัฐอนุญาตใหัมีการจัดตั้งกองทุนหุ้นระยะยาวได้ ซึ่งมีจำนวนเม็ดเงินไม่มาก ขณะที่ช่วงที่ผ่านมามีเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามาในกองทุนหุ้นระยะยาวอย่างต่อเนื่องในปริมาณที่มากกว่าช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด ประกอบกับดัชนีหุ้นที่เพิ่มขึ้นมาจากช่วงที่ผ่านมา ทำให้เชื่อมั่นว่าการขายคืนไม่น่าจะกระทบต่อภาพรวมแต่อย่างใด

นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า สำหรับปีนี้อาจจะมีนักลงทุนบางส่วนที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนที่ครบกำหนดออกไปบ้าง แต่ไม่น่าจะมีปริมาณที่มากนัก เนื่องมาจากแนวโน้มของดัชนีตลาดหุ้นที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่อาศัยโอกาสลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนแอลทีเอฟอย่างต่อเนื่องซึ่งประเมินว่าถ้านักลงทุนยังคงถือหน่วยลงทุนต่อเนื่องไปในระยะกลาง - ยาว อาจจะได้รับผลตอบแทนที่สุงกว่าปัจจุบัน แต่คงจะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนักลงทุนแต่ละบุคคลด้วยเพราะในช่วงที่ผ่านมากองทุนแอลทีเอฟก็สามารถให้ผลตอบแทนในระดับสูงแล้วเช่นเดียวกัน

"การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น นักลงทุนควรที่จะมีความเข้าใจ และพร้อมรับความเสี่ยงได้ เพราะแม้ว่ากองทุนที่ลงทุนในหุ้นจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ก็มีความผันผวนที่มากกว่าเช่นเดียวกัน" นายกรวุฒิ กล่าว

นายสหวัสส์ วัชรมาศหาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บลจ.พรีมาเวสท์ เปิดเผยว่า สำหรับการขายหน่วยลงทุนของกองทุนแอลทีเอฟที่ลงทุนมาตั้งแต่ปี 2547 และจะครบกำหนดในปี 2551 นั้น คาดว่าอาจจะมีปริมาณมากพอสมควร เนื่องมาจากช่วงที่ผ่านมากองทุนสามารถให้ผลตอบแทนในระดับสูง หลังจากที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2547 เกือบ 200 จุด โดย ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2550 กองทุนเปิดกรุงศรี-พรีมาเวสท์ หุ้นระยะยาว (KP-LTF) สามารถให้ผลตอบแทนไม่รวมเงินปันผลตั้งแต่จัดตั้งกองทุนประมาณ 47%

ขณะเดียวกันแนะนำนักลงทุนที่ครบกำหนดอายุซื้อคืนให้ทยอยขายหน่วยลงทุนออกมา และใช้เงินลงทุนเก่าเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนใหม่เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอีกครั้ง ซึ่งจะทยอยขายช่วงใดนั้นคงจะต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุน ซึ่งคาดว่าการไถ่ถอนหน่วยลงทุนของนักลงทุนในกองทุนแอลทีเอฟนั้นจะไม่กระทบต่อสภาพตลาดหลักทรัพย์โดยรวม เพราะแต่ละกองทุนนั้นมีช่วงเวลาไถ่ถอนที่ไม่ตรงกัน แต่อาจจะส่งผลทำให้ขนาดของกองทุนปรับลดลงบ้าง

สำหรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนแอลทีเอฟ จากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 อยู่ที่ 2,726,735,790.27 บาท ซึ่งมีกองทุนที่จัดตั้งขึ้นทั้งหมด 21 กองทุน ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการลงทุนจำนวน 17 แห่ง โดย บลจ.กสิกรไทย จำกัดมีทรัพย์สินสุทธิมากที่สุด 655.80 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาด 24.05% อันดับ2.บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 498.56 ล้านบาท หรือ 18.28% อันดับ3.บลจ.บัวหลวง จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 261.92 ล้านบาท หรือ 9.61% อันดับ4. บลจ.ธนชาต จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 227.27 ล้านบาทหรือ 8.34% และอันดับ 5 บลจ.ทหารไทย จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 130.10 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งการตลาด 4.77%

ขณะที่ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 มีกองทุนแอลทีเอฟมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 41,555,646,978.60 บาท จากทั้งหมด 53 กองทุน โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ มีทรัพย์สินสุทธิมากที่สุด 11,904.37 ล้านบาท หรือคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 28.65% อันดับ2.ได้แก่ บลจ.กสิกรไทย จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 9,198.41 ล้านบาท หรือ 22.14% อันดับ 3. บลจ.บัวหลวง จำกัด มีทรัพย์สินสุทธิ 5,212.39 ล้านบาท หรือ 12.71% อันดับ4.บลจ.อเบอร์ดีน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,871.47 ล้านบาท และอันดับ5. บลจ.อยุธยา จำกัด มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 2,164.12 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว พบว่ากองทุนรวมแอลทีเอฟ ในระยะเวลาตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจากการที่นักลงทุนเล็งเห็นถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุนในรูปแบบดังกล่าว เนื่องจากได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี นอกจากนี้การลงทุนผ่านกองทุนแอลทีเอฟ ยังช่วยให้ผู้ถือหน่วยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วย

ปัจจุบัน รูปแบบการตลาดสำหรับกองทุนรวมแอลทีเอฟนั้น บริษัทจัดการกองทุนต่างนำเสนอผ่านนโยบายการลงทุนในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีโอกาสตัดสินใจหรือพิจารณาเลือกลงทุนหลายทาง ขณะเดียวกันนอกเหนือจากเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว บริษัทจัดการลงทุน ต่างหันมาชี้แจงถึงผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากลงทุนมากขึ้นเช่นกัน แม้บางบริษัทอาจมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบต่างๆออกมาช่วยเสริม หรือดึงดูดการจัดตัดสินใจของลูกค้า อาทิการแจกของพรีเมี่ยม ก็ตาม
กำลังโหลดความคิดเห็น