บลจ.บีทีแนะนักลงทุน ลุยตราสารหนี้ระยะสั้นหลังอัตราดอกเบี้ยส่อแววขยับขึ้น เพื่อป้องกันขาดทุน และเสียโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกัน เตรียมออกกองทุนเอฟไอเอฟใหม่ที่มีลักษณะคล้ายการลงทุนใน ECP คาดสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.2% ขึ้นไป ล่าสุดเตรียมเปิดให้ผู้ถือหน่วย กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 สั่งขายคืนหน่วยลงทุนล่วงหน้าได้แล้วตั้งแต่วันที่ 14 -16 ม.ค.นี้
นายณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด กล่าวถึงว่า กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 (BT Fixed Income 3M1 Fund, BT3M1) โดยทางนโยบายแล้วจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ไม่ต่ำกว่า A ขึ้นไป แต่ในความเป็นจริงนั้น ตราสารหนี้เท่าที่หาได้ภายในประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย โดยตราสารหนี้ในประเทศส่วนใหญ่จะมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่กองทุนลงทุน ทำให้ประสบกับปัญหาในการคัดเลือกตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตลงทุน
โดยล่าสุด บลจ. บีที แจ้งว่า กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 ซึ่งทำการเสนอขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 – 19 ตุลาคม 2549 และมีการเปิดเสนอขายทุกรอบระยะเวลา 3 เดือนนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม สามารถทำการส่งคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนล่วงหน้าในวันที่ 14 – 18 มกราคม 2551 และผู้ถือหน่วยลงทุนที่ต้องการใช้เงินลงทุนทั้งจำนวนหรือบางส่วน สามารถทำการสั่งขายคืนหน่วยลงทุนล่วงหน้าในวันที่ 14 – 16 มกราคมนี้ โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดวันทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในวันที่ 22 มกราคม 2551 ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินลงทุนนี้ และต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับดอกผลงอกเงยสะสมไปเรื่อยๆนั้น ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ในงวดนี้
สำหรับ กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 จดทะเบียน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2549 มีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐและหรือเอกชนที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นสูง หรือเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
ปัจจุบัน กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 884.90 ล้านบาท และมีสัดส่วนการลงทุน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 ดังนี้ 1.หุ้นกู้ มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 107.06 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 2.ตั๋วแลกเงิน มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 764.68 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วแลกเงินของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประมาณ 188.40 ล้านบาท ,ตั๋วแลกเงินของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ประมาณ 199.21 ล้านบาท ,ตั๋วแลกเงินของบริษัท ไทยพาณิชย์ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ประมาณ 198.47 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประมาณ 178.59 ล้านบาท และ 3.เงินฝากธนาคาร มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 13.48 ล้านบาท โดยเป็นเงินฝากธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ.ประมาณ 12.74 ล้านบาท เงินฝากธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ประมาณ 0.73 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน สิ้นสุด ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2550 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่ 3.07% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.35% และสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 4.01%
นายณัฐพัชร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.บีที มีแผนที่จะออกกองทุนเปิดที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายกับการลงทุนใน Euro Commercial Paper (ECP) ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.2% ขึ้นไป เนื่องจากยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศในปัจจุบันยังค่อนข้างทรงตัว โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีอายุ 3 เดือน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.2% และผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีอายุ 6 เดือน อยู่ที่ประมาณ 3.3% แต่จากการที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.50% ทำให้ตราสารหนี้ในต่างประเทศถูกลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะต้องรอดูการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง
"แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจะทรงตัว และยังไม่ขยับตัวมากนัก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ โดยจะต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และนักลงทุนควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่าตราสารหนี้ระยะยาว เพราะอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวขึ้น หากไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะทำให้ขาดทุนและได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าตราสารหนี้ที่ออกมาใหม่ แต่หากเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เมื่อครบอายุแล้วยังสามารถเลือกลงทุนใหม่ได้ โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนของตราสารหนี้ในขณะนั้น ว่าตราสารหนี้ใดให้ผลตอแบทนที่ดีกว่ากัน และยังช่วยให้ไม่เสียโอกาสในการลงทุนไปด้วย"นายณัฐพัชร์ กล่าว
นายณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด กล่าวถึงว่า กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 (BT Fixed Income 3M1 Fund, BT3M1) โดยทางนโยบายแล้วจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ไม่ต่ำกว่า A ขึ้นไป แต่ในความเป็นจริงนั้น ตราสารหนี้เท่าที่หาได้ภายในประเทศไทยมีค่อนข้างน้อย โดยตราสารหนี้ในประเทศส่วนใหญ่จะมีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่กองทุนลงทุน ทำให้ประสบกับปัญหาในการคัดเลือกตราสารหนี้เข้ามาในพอร์ตลงทุน
โดยล่าสุด บลจ. บีที แจ้งว่า กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 ซึ่งทำการเสนอขายครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 – 19 ตุลาคม 2549 และมีการเปิดเสนอขายทุกรอบระยะเวลา 3 เดือนนั้น ผู้ถือหน่วยลงทุนที่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม สามารถทำการส่งคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนล่วงหน้าในวันที่ 14 – 18 มกราคม 2551 และผู้ถือหน่วยลงทุนที่ต้องการใช้เงินลงทุนทั้งจำนวนหรือบางส่วน สามารถทำการสั่งขายคืนหน่วยลงทุนล่วงหน้าในวันที่ 14 – 16 มกราคมนี้ โดยกองทุนดังกล่าวมีกำหนดวันทำการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนในวันที่ 22 มกราคม 2551 ส่วนผู้ถือหน่วยลงทุนที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินลงทุนนี้ และต้องการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับดอกผลงอกเงยสะสมไปเรื่อยๆนั้น ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ ในงวดนี้
สำหรับ กองทุนเปิดบีที ตราสารหนี้ 3M1 จดทะเบียน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2549 มีมูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และมีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐและหรือเอกชนที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นสูง หรือเงินฝาก หรือหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นตามที่คณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตหรือเห็นชอบให้กองทุนลงทุนได้
ปัจจุบัน กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 884.90 ล้านบาท และมีสัดส่วนการลงทุน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2550 ดังนี้ 1.หุ้นกู้ มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 107.06 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) 2.ตั๋วแลกเงิน มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 764.68 ล้านบาท โดยเป็นตั๋วแลกเงินของ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ประมาณ 188.40 ล้านบาท ,ตั๋วแลกเงินของ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ประมาณ 199.21 ล้านบาท ,ตั๋วแลกเงินของบริษัท ไทยพาณิชย์ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ประมาณ 198.47 ล้านบาท และตั๋วแลกเงินของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประมาณ 178.59 ล้านบาท และ 3.เงินฝากธนาคาร มีสัดส่วนการลงทุนประมาณ 13.48 ล้านบาท โดยเป็นเงินฝากธนาคารซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ.ประมาณ 12.74 ล้านบาท เงินฝากธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ประมาณ 0.73 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน สิ้นสุด ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2550 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนที่ 3.07% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 3.35% และสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 4.01%
นายณัฐพัชร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.บีที มีแผนที่จะออกกองทุนเปิดที่ลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ที่มีลักษณะการลงทุนคล้ายกับการลงทุนใน Euro Commercial Paper (ECP) ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 3.2% ขึ้นไป เนื่องจากยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศในปัจจุบันยังค่อนข้างทรงตัว โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีอายุ 3 เดือน ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.2% และผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่มีอายุ 6 เดือน อยู่ที่ประมาณ 3.3% แต่จากการที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.50% ทำให้ตราสารหนี้ในต่างประเทศถูกลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจจะต้องรอดูการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง
"แนวโน้มตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศในช่วง 3 เดือนข้างหน้าจะทรงตัว และยังไม่ขยับตัวมากนัก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยยังทรงตัวอยู่ โดยจะต้องจับตาดูอัตราเงินเฟ้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และนักลงทุนควรเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่าตราสารหนี้ระยะยาว เพราะอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับตัวขึ้น หากไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะทำให้ขาดทุนและได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าตราสารหนี้ที่ออกมาใหม่ แต่หากเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เมื่อครบอายุแล้วยังสามารถเลือกลงทุนใหม่ได้ โดยเปรียบเทียบผลตอบแทนของตราสารหนี้ในขณะนั้น ว่าตราสารหนี้ใดให้ผลตอแบทนที่ดีกว่ากัน และยังช่วยให้ไม่เสียโอกาสในการลงทุนไปด้วย"นายณัฐพัชร์ กล่าว