กบข.เผยแผนกลยุทธ์การลงทุนปี 51 เตรียมเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น พร้อมเน้นกระจายการลงทุนให้หลากหลาย หวังกระจายความเสี่ยง และป้องกันพิษปัญหาซับไพรม์ ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศยังคงสัดส่วนการลงทุนไว้ที่ 12% รวมทั้งลดระยะเวลาการถือครองตราสารหนี้ระยะยาว หลังแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยส่อแววเป็นขาขึ้น
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยถึงการจัดเตรียมแผนกลยุทธ์การลงทุนตลอดปี 2551 ว่า กบข.ยังคงให้ความสำคัญกับรูปแบบการลงทุนให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ โดยยังคงเน้นที่การจัดสรรการลงทุนระยะยาว (Strategic Asset Allocation : SAA) เป็นสำคัญ รวมถึงเน้นกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายและกระจายการลงทุนไปต่างประเทศมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง ขณะที่การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนตราสารทุนในประเทศนั้น กบข.จะยังคงสัดส่วนไว้ที่ 12% ของเงินกองทุน โดยเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี และมีการเลือกอุตสาหกรรม (Industry) และรายหลักทรัพย์ (Stock) อย่างระมัดระวัง
นายวิสิฐ กล่าวถึงการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้น กบข.จึงมีนโยบายลดระยะเวลาการถือครองตราสารหนี้ลง โดยจะปรับลดสัดส่วนการถือครองพันธบัตรระยะยาว และหันมาถือครองตราสารหนี้ระยะสั้นอายุ 3-4 ปีแทน เพื่อให้ผลักดันผลตอบแทนให้สูงขึ้น
ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศ กบข.ได้เตรียมแผนที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารทุนโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้นเอเชีย เพราะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย รวมทั้งคาดการณ์ว่าตลาดการเงินภูมิภาคเอเชียที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) น้อยกว่าตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อนั้น กบข.ได้มีการเตรียมการที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมั่นคงในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ กบข.มีนโยบายลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม โดยอยู่ในระหว่างการศึกษาคัดเลือกทำเลที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่ดี สำหรับรองรับแนวโน้มเงินเฟ้อ และดอกเบี้ยที่จะปรับตัวสูง และขณะเดียวกันในปี 2551 ยังมีแผนที่จะลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศอีกด้วย เพื่อกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายสำหรับรองรับการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
"สถานการณ์ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าการลงทุนในปีนี้มีความเสี่ยงที่ท้าทายทั้งปัจจัยภายในและภายนอก โดยในส่วนของปัญหาซับไพรม์ เชื่อว่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้มีอัตราการขยายตัวชะลอลง และทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น"วิสิฐ กล่าว
ปัจจุบัน กบข.มีมูลค่าสินทรัพย์ ณ วันที่ 4 มกราคม 2551 ประมาณ 315,539,39 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนแยกตามประเภทตราสาร สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 ดังต่อไปนี้ ตราสารหนี้ในประเทศ 67.03% ตราสารทุนในประเทศ 12.37% ตราสารต่างประเทศ 12.36% อสังหาริมทรัพย์ 3.87% และการลงทุนทางเลือกอื่นๆ อีก 4.37%
ขณะเดียวกัน ในปี 2551 กบข. ตั้งเป้าผลตอบแทนจากการลงทุนลดลงเหลือประมาณ 6-6.5% จากปีที่ผ่านมาซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 8-9% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นโดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.5-4% ทำให้ กบข.ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์และหุ้นอื่นๆ ให้มากขึ้นโดยการปรับพอร์ตลงทุนจะเกิดขึ้นประมาณเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้วโดยนโยบายการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานของ กบข.นั้น จะเป็นแนวโน้มเดียวกับนักลงทุนทั่วโลกที่จะปรับลดสัดส่วนการลงทุนเท่ากับน้ำหนักของตลาด
"กบข.มีนโยบายลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้และเพิ่มการลงทุนในหุ้น ซึ่งจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็น 20-25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 15% ของสินทรัพย์รวมที่มีประมาณ 305,700 ล้านบาทด้วยการ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น ทั้งจีน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ยกเว้นญี่ปุ่น รวมทั้งมี นโยบายลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ ประเภทโรงแรม และคอนโดมิเนียม โดยคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 7-8% ต่อปี"
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ในการเลือกลงหุ้นในประเทศของ กบข.นั้น จะให้ความสำคัญกับหุ้นที่อยู่ใน SET50 เป็นพิเศษ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีเกณฑ์มาตรฐานที่ดี นอกเหนือจากการดูปัจจัยพื้นฐานของแต่บริษัท
นายวิสิฐ กล่าวถึงภาพรวมแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2551 ว่าสิ่งที่น่าจับตานั่นคือราคาน้ำมัน ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มตัวจะส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงานได้รับอานิสงส์ไปด้วย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนั้นคาดว่าจะมีการปรับตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรดากลุ่มธนาคารพาณิชย์