xs
xsm
sm
md
lg

ตราสารหนี้ในประเทศกลับมาแล้วมันนี่มาร์เกตได้อานิสงส์แหล่งพักเงินรอจังหวะ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


กองทุนตราสารหนี้ในประเทศกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง หลังโดนตั่ว ECP ต่างประเทศเบียดยึดหัวหาด ผู้จัดการกองทุนระบุ มันนี่มาร์เกตได้อานิสงส์จากนักลงทุนใช้เป็นแหล่งพักเงินระยะสั้นรอจังหวะลงทุน "บัวหลวง-ไทยพาณิชย์" ส่งกองทุนพันธบัตรรัฐบาลเป็นทางเลือก พร้อมจ่อคิวกองใหม่รับดอกเบี้ยขาลง ชี้หากอาร์/พี ปรับลงตามเฟด มีลุ้น ECP น่าลงทุนอีกครั้ง

นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงที่ภาวะการลงทุนทั้งในประเทศและการลงทุนในต่างประเทศค่อนข้างผันผวนจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) มากขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้เป็นแหล่งพักเงินเพื่อรอดูจังหวะการลงทุนในช่วงสั้นๆ ก่อนจะโยกเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเมื่อถึงจุดที่เหมาะสม เช่น การลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งถือว่าน่าสนใจหากราคาปรับลงมาอยู่ในระดับ 700 กว่าจุดเช่นตอนนี้

ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนเปิดธนชาตบริหารเงิน (T-CASH) ซึ่งเป็นกองทุนมันนี่มาร์เกตภายใต้การบริหารของบริษัท มีเงินลงทุนเข้ามามากขึ้นพอสมควร โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีลูกค้าโยกเงินเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นประมาณ 5,000 ล้านบาท ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ของกองทุนเพิ่มขึ้นเป็น 27,000 ล้านบาทจากเอ็นเอวีประมาณ 22,000 ล้านบาทในช่วงปลายปีที่แล้ว

"ในแง่ของผลการดำเนินงานกองทุนในช่วงปีที่ผ่านมาออกมาค่อนข้างดีโดย ให้ผลตอบแทนได้ประมาณ 3% ซึ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงก็ไม่มีผลกระทบมาก เพราะกองทุนมีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาวอยู่ด้วย โดยปัจจุบันกองทุนลงทุนในตราสารหนี้อายุเฉลี่ยประมาณ 2-3 เดือน"นายบุญชัยกล่าว

นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด กล่าวว่า กองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 3/1 กองทุนเปิดบีที FIF ตราสารหนี้ 6/1 ที่บริษัทเปิดขายไปก่อนหน้านี้ ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เช่นกัน เนื่องจากในช่วงท้ายของการเปิดขายไอพีโอตรงกับการประกาศลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งสาเหตุดังกล่าวส่งผลให้กองทุนสามารถระดมทุนได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในครั้งนี้ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศปรับลดลงต่ำกว่าผลตอบแทนในประเทศ ดังนั้นในช่วงนี้ บริษัทจึงแนะนำให้ลูกค้าหันมาลงทุนในประเทศแทน โดยเฉพาะกองทุนประเภทคุ้มครองเงินต้นที่มีความเสี่ยงต่ำ หรือกองทุนมันนี่มาร์เกต ซึ่งปัจจุบันยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจประมาณ 2.9% นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการเสนอขายกองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 (B2/08) กองทุนตราสารหนี้ในประเทศอายุโครงการประมาณ 10 - 12 เดือน โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารแห่งหนี้ที่กระทรวงการคลัง หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารแห่งหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่นด้วยการทำ ธุรกรรมการซื้อตราสารแห่งหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารแห่งหนี้ดังกล่าวตามวันที่กำหนดในสัญญา

นายวศินกล่าวว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ ฯ ได้ปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากจะทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยในเดือนกุมภาพันธ์ นี้ บริษัทมีแผนที่ออกกองทุนประเภทดังกล่าวอีกประมาณ 2-3 กองทุนเป็นอย่างต่ำ โดยกองทุนที่จะออกนั้นจะมีอายุโครงการประมาณ 9 – 12 ปี เพราะจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในระยะสั้น

“กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 2/08 นี้ จะให้ผลตอบแทนประมาณ 2.70% ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในช่วงระยะเวลา 3 เดือนที่มีความผันผวนในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยอยู่ ซึ่งเราเชื่อว่ากองทุนดังกล่าวจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้คาดว่าจะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้เป็นอย่างดี” นายวศินกล่าว

นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่เห็นการโยกเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนมันนี่มาร์เกตอย่างชัดเจนมากนัก เพราะเราเองมีกองทุนพันธบัตรรัฐบาลอายุประมาณ 6 เดือนเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าแทน โดยหลังจากเปิดขายทุนดังกล่าว นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในตั๋ว ECP ของบริษัทก็โยกเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนพันธบัตรแทน ขณะเดียวกัน มีนักลงทุนบางส่วนที่เห็นโอกาสใส่เงินลงทุนในกองทุนหุ้นเพิ่มด้วย

ทั้งนี้ ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาลงเช่นนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดขายกองทุนพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุการลงทุนยาวขึ้น ทั้ง 9 เดือน 1 ปี รวมถึง 2 ปีด้วย ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยส่งสัญญาณปรับลดลงชัดเจน รวมถึงมีความต้องการจากลูกค้าก็สามารถเปิดขายหน่วยลงทุนรองรับได้ โดยในขณะนี้ บริษัทได้ยื่นขอจัดตั้งกองทุนใหม่กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ไว้แล้ว

"ตอนนี้ภาพการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเร็วมาก ซึ่งเราเองต้องนำเสนอกองทุนใหม่ๆ ให้ทันต่อตลาดและความต้องการของนักลงทุนด้วย ส่วนกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในตั๋ว ECP มองว่ายังมีโอกาสลงทุนได้อีก เพราะหากอัตราดอกเบี้ยในประเทศปรับลดลงตามอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลก ก็มีส่วนต่างที่น่าสนใจสามารถลงทุนได้"นายกำพลกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น