นับจากเข้าสู่ทศวรรษที่ 2020 ขณะที่หลากหลายแบรนด์รถยนต์พุ่งเป้าไปที่การทุ่มพัฒนาเทคโนโลยีพลังไฟฟ้ามาโดยตลอด ด้วยเหตุที่เห็นถึงปลายทางในการเดินหน้าไปสู่สังคมไร้มลพิษ แต่ทว่าในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่เกิดขึ้นใน 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นแล้วว่า ตลาดกำลังเกิดสภาพที่เรียกว่าฟองสบู่ EV ด้วยเหตุที่การเดินหน้าตามบริษัทรถยนต์จีน และ BEV หรือรถยนต์พลังไฟฟ้ายังไม่สามารถเติบโตแบบรวดเร็วได้เหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ ซ้ำร้ายยังได้รับผลกระทบในหลายเรื่อง โดยเฉพาะนโยบายการแข่งขันด้านราคาที่ทำให้หลายแบรนด์ไม่สามารถต่อกรกับรถยนต์พลังไฟฟ้าจากจีนที่มีราคาถูกกว่า และหั่นราคาแบบไม่คิดชีวิต
แน่นอนว่า หลายแบรนด์เริ่มตั้งสติและกลับลำด้วยการประกาศนโยบายใหม่ โดยเฉพาะการกระจายความเสี่ยงออกสู่หลากหลายทางเลือกของขุมพลังที่ไม่ได้ยึดมั่นว่าจะต้องเป็นแค่ BEV เท่านั้น แต่ยังรวมถึง HEV, EREV หรือ PHEV เพราะไฮบริดยังมีบทบาที่สำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมเพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านโลกการขับเคลื่อนจากที่มีการปล่อยมลพิษมาสู่สังคมที่ไร้มลพิษในที่สุด
‘เทคโนโลยีไฮบริดยังมีความสำคัญต่อตลาดในเรื่องของการเปลี่ยนผ่านการขับเคลื่อนในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก’ Howard Douglas นักวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมรถยนต์รายหนึ่งให้ความเห็น ‘เราได้เห็นภาพของความตื่นตระหนักจากบรรดาแบรนด์รถยนต์ต่างๆ ที่กลัวตกขบวนรถไฟฟ้ากันมาแล้ว และเมื่อตั้งสติได้ เราถึงได้เห็นหลายแบรนด์เริ่มเปลี่ยนและปรับนโยบายกันใหม่ แน่นอนว่า เมื่อคุณพลาด ย่อมต้องมีการบาดเจ็บกันบ้าง แต่นั่นคือ บทเรียนที่ดี’
แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่พยายามดึงดันในการกระโดดเข้าสู่ตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้ากันแบบไม่ลืมหูลืมตา Toyota ซึ่งถือว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกได้แสดงให้เห็นถึงความชัดเจนในเชิงนโยบายของการเดินหน้าไปสู่อนาคตของพวกเขา และแน่นอนว่าไม่มีความบุ่มบ่ามเหมือนกับที่เห็นในตลาดรถยนต์
พวกเขาพัฒนารถยนต์และใช้ไฮบริด หรือ HEV เป็นสะพานเชื่อมเพื่อช่วยในการเปลี่ยนผ่านโลกจากการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ 100% มาสู่สังคมที่ไร้มลพิษ ซึ่งไม่ได้มีการวางเดิมพันเอาไว้ที่แค่ BEV อย่างเดียว แต่กระจายออกสู่เทคโนโลยีอื่นๆ โดยพาะ FCEV หรือ Fuel Cell ที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นตัวสร้างกระแสไฟฟ้า ซึ่งในตอนแรกเทคโนโลยีนี้ทำท่าว่าจะไปไม่รอดในแง่ของการนำมาใช้งานจริง แต่สุดท้าย Toyota ก็ทดลองและพัฒนาจนสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ และนำมาใช้งานได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นการใช้งานและผลิตขายในเชิงพาณิชย์
ไฮบริด หรือ HEV (Hybrid Electric Vehicle) คือ แกนหลักหรือหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน ซึ่ง Toyota พัฒนาเทคโนโลยีนี้มานานก่อนที่จะเริ่มวางขายในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1997 หรือเมื่อกือบ 30 ปีที่แล้วกับรุ่น Prius ซึ่งมียอดขายเพียง 300 คันในปีแรกที่ทำตลาด แต่ก็สามารถวางรากฐานระบบไฮบริดจนนำมาใช้งานกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ จนกระทั่งอีก 20 ปีต่อมา และทำให้ Toyota มียอดขายรถยนต์ไฮบริดรวมทุกรุ่นนับจากปี 1997 อยู่ที่ 10 ล้านคัน
‘ระบบและซัพพลายเชนของการผลิตถูกวางเอานานถึง 30 ปีแล้ว แน่นอนว่ามันมีความมั่นคง และในเชิงปฏิบัติ การเปลี่ยนผ่านทำได้ยากและช้า แต่ถึงกระนั่นแนวคิดของ Toyota คือ สิ่งที่น่าสนใจและสะท้อนให้เห็นแล้วว่า โลกเรายังมีทางเลือกอื่นๆ ในการขับเคลื่อน และการที่จะพลิกตลาดจากอย่างหนึ่งเป็นอย่างหนึ่งโดยใช้เวลาแค่ช่วงสั้นๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปัจจัยหลายๆ อย่างยังไม่สามารถควบคุมได้’ Howard กล่าวเพิ่ม
แน่นอนว่าตลาดใหญ่ของรถยนต์ไฮบริดของ Toyota ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา คือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทั้ง 2 ประเทศถือว่ามีอัตราการเติบโตของรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ค่อนข้างช้ามาก ด้วยปัจจัยหลายๆ เรื่อง ทั้งความนิยมของผู้บริโภค ความสะดวกการใช้งาน และที่สำคัญการเปลี่ยนรัฐบาลที่สร้างผลกระทบในวงกว้างผ่านทางนโยบายด้านต่างๆ
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา จะได้เห็นข่าวว่า Toyota ยังทุ่มเงินระดับ 912 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการขยายโรงงานผลิตรถยนต์ไฮบริดในจุดต่างๆ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในจำนวนนั้น 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถูกสร้างไลน์ผลิตใหม่ที่โรงงานใน Mississippi เพื่อสร้างไลน์ผลิตใหม่ให้กับ Corolla Hybrid และไฟฟ้า และถือเป็นครั้งแรกที่ Corolla Hybrid และไฟฟ้า ถูกประกอบจากโรงงานในสหรัฐอเมริกา
“ลูกค้าต่างให้การยอมรับรถยนต์ไฮบริดของ Toyota และทีมผู้ผลิตในสหรัฐอเมริกาของเรากำลังเตรียมพร้อมที่จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ ปรัชญาของ Toyota คือการสร้างสิ่งที่เราขาย และด้วยการเพิ่มงานในอเมริกาและการลงทุนทั่วสหรัฐอเมริกา เรายังคงยึดมั่นในปรัชญานี้” Kevin Voelkel รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการการผลิต
“ผมขอชื่นชม Toyota สำหรับความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าต่อแรงงานชาวอเมริกัน ผ่านการลงทุนครั้งใหม่มูลค่า 912 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมถึง 204.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับโรงงานที่ Georgetown ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางมลรัฐ Kentucky” Andy Barr สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน มลรัฐ Kentuckyกล่าวในแถลงการณ์ “การขยายกิจการของ Toyota ทั่วประเทศจะสร้างงานที่มีค่าตอบแทนดีหลายร้อยตำแหน่ง เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการผลิตของอเมริกา และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในชุมชนของเรา”
เงินลงทุนจำนวนนี้คือ การลงทุนตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ครอบคลุม 5 โรงงานทั่วสหรัฐอเมริกา และสามารถสร้างตำแหน่งงานใหม่ได้เกือบ 300 อัตรา จากเดิมที่โรงงานเหล่านี้มีการจ้างงานอยู่แล้วในระดับ 2,000-10,000 อัตราต่อโรงงาน สำหรับโรงงานที่ได้รับการลงทุนประกอบด้วย
-Toyota West Virginia ลงทุน 453 ล้านเหรียญสหรัฐฯ :โรงงานของโตโยต้าในเมือง Buffalo มลรัฐ West Virginia จะเพิ่มตำแหน่งงานอีก 80 อัตรา เพื่อเพิ่มการประกอบเครื่องยนต์ไฮบริด 4 สูบ ชุดขับเคลื่อนไฮบริดรุ่นที่ 6 และมอเตอร์สำหรับการขับเคลื่อนด้านหลัง การขยายกำลังการผลิตซึ่งจะเริ่มการผลิตในปี 2027 ยังรวมถึงรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์แบบใหม่เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น Toyota West Virginia ประกอบเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และชุดขับเคลื่อนไฮบริดมากกว่าหนึ่งล้านชิ้นต่อปี คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
-Toyota Kentucky ลงทุน 204.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ : โรงงานที่ใหญ่ที่สุดของ Toyota ที่อยู่นอกญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมือง Georgetown มลรัฐ Kentucky จะมีการติดตั้งสายการผลิตเครื่องจักรกลใหม่สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด 4 สูบ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2027 โรงงานแห่งนี้สามารถประกอบเครื่องยนต์ได้สูงสุด 700,000 เครื่องต่อปี Toyota Kentucky มีพนักงานเกือบ 10,000 คน คิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 11 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
-Toyota Mississippi ลงทุน 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ : โรงงานตั้งอยู่ที่เมือง Blue Springs มลรัฐ Mississippi ของโตโยต้า จะเพิ่มการผลิตโคโรลล่าไฮบริด-ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นโคโรลล่าไฟฟ้ารุ่นแรกที่ประกอบในสหรัฐอเมริกา โรงงานแห่งนี้มีพนักงาน 2,400 คน และคิดเป็นเงินลงทุน 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
-Toyota Tennessee ลงทุน 71.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ : โรงงานหล่อของโตโยต้าในเมือง Jackson มลรัฐ Tennessee จะเพิ่มการจ้างงาน 33 ตำแหน่ง เพื่อเพิ่มการผลิตปลอกหุ้มและตัวเสื้อหุ้มระบบทรานแอกเซิลไฮบริด รวมถึงเสื้อสูบสำหรับรถยนต์ไฮบริด การลงทุนนี้ประกอบด้วยสายการผลิตใหม่ทั้งหมด 3 สายการผลิต และจะเพิ่มกำลังการผลิตเกือบ 500,000 ชุดต่อปี การผลิตสายการผลิตใหม่จะเริ่มในปี 2027 และ 2028 คิดเป็นเงินลงทุน 497 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- Toyota Missouri ลงทุน 57.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ :โรงงานหล่อของโตโยต้าในเมือง Troy มลรัฐ Missouri จะเพิ่มการจ้างงาน 57 ตำแหน่ง และสายการผลิตฝาสูบใหม่สำหรับรถยนต์ไฮบริด สายการผลิตใหม่ซึ่งจะเริ่มการผลิตในปี 2027 จะเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานได้มากกว่า 200,000 ชุดต่อปี และทำให้การลงทุนทั้งหมดเป็นมูลค่า 629 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ถือเป็นอีกเดิมพันที่แสดงให้เห็นถึงความหนักแน่น Toyota ที่มีต่อการเดินอยู่บนเส้นทางในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลก และที่สำคัญคือ เป็นการมองเห็นภาพที่ชัดเจนของความเปลี่ยนแปลงของตลาดรถยนต์ที่เป็นเรื่องยากในการที่จะพลิกรูปแบบของระบบการขับเคลื่อนอย่างเบ็ดเสร็จจากแบบหนึ่งมาเป็นอีกแบบหนึ่ง


