xs
xsm
sm
md
lg

นโยบายทรัมป์ ฉุด “EV”อเมริกาดิ่ง ค่ายรถขาดทุนยับ ยอดขายหล่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเข้ามาของประธานาธิบดี Donald Trump พร้อมกับนโยบาย One Big Beautiful Bill ด้วยการหันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปภายในและไฮบริด พร้อมกับปรับลดบทบาทของรถยนต์พลังไฟฟ้า รวมถึงการยกเลิกเงินสนับสนุนจำนวน 7,500 เหรียญสหรัฐฯ ในการกระตุ้นการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้น กำลังพ่นพิษ และทำให้บริษัทรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาหลายรายต่างประสบกับปัญหาทั้งในเรื่องของการขาดทุน และการวางแผนผลิตภัณฑ์กันถ้วนหน้า

ตอนนี้มีรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา กำลังปรับลดแนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ท่ามกลางความกังวลของผู้บริโภคที่ยังคงยืดเยื้อ การสนับสนุนจากรัฐบาลกลางที่ลดลง และสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทายซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ทุกประเภทในเมืองลุงแซม โดยทั้งหมดต่างได้รับผลกระทบมาจากการที่ประธานาธิบดี Trump มีนโยบายที่จะไม่สานต่อการสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ที่ Joe Biden ประธานาธิบดีคนก่อนได้วางเอาไว้

ผลกระทบเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในกลุ่ม Big Three ของอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน GM หรือ Generals Motors รายงานว่า บริษัทขาดทุนรวม 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการเปลี่ยนแปลงแผนการเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ถูกวางเอาไว้ โดยระบุว่าการเปลี่ยนแปลงบางส่วนเกิดจากการที่ประธานาธิบดี Trump ยกเลิกสิทธิประโยชน์ด้านการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นเงินสนับสนุนมูลค่า 7,500 เหรียญสหรัฐ ที่ประธานาธิบ Biden ประกาศใช้ และเครดิตดังกล่าวหมดอายุอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา

“หลังจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงการยุติสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้บริโภคบางรายการสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการลดความเข้มงวดของกฎระเบียบด้านการปล่อยมลพิษ เราคาดว่าอัตราการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้จะชะลอตัวลง” GM กล่าวในเอกสารของบริษัท


ทางด้าน Ford Motors ได้เลื่อนแผนการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในรัฐเทนเนสซีออกไป ส่วน Reuter รายงานว่า ทาง Tesla ซึ่งยังคงเป็นผู้นำตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา ประกาศว่า “จะปรับเวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดและความต้องการของลูกค้า”

ยอดขายที่ตกต่ำของ Tesla ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลงเช่นกัน โดยยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ในสหรัฐอเมริกา ลดลงเกือบ 13% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าปีนี้ไม่น่าจะหมูสำหรับบรรดาผู้ที่มีรถยนต์พลังไฟฟ้าเป็นผลผลิตหลักอย่าง Tesla

สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องแปลก เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คือ การที่สหรัฐอเมริกายอมทิ้งอุตสาหกรรมที่ทุกคนมองว่าคือ อนาคตของการขับเคลื่อนเอาไว้เบื้องหลังและเทความตั้งใจแบบหมดหน้าตักในการสานต่อรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาภายใน ซึ่งทั้งหมดล้วนกังวลว่าจะส่งผลในระยะยาวต่ออุตสาหกรรมรถยนต์อเมริกันอย่างแน่นอน

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแซงหน้ายอดขายรถยนต์ทั่วไปในจีนอย่างเป็นทางการ ทั้งในประเทศจีนและประเทศใกล้เคียง ต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าลดลงอย่างรวดเร็วกว่าในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์จีนที่ครองตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปัจจุบัน


อีกทั้งนโยบายด้านการค้าต่างประเทศของ Trump ก็พยายามทำลายบรรยากาศที่เบ่งบานของอุตสาหกรรมรถยนต์พลังไฟฟ้า ซึ่งประเทศตะวันตกอื่นๆ กำลังทบทวนพันธสัญญาเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าเดิมที่มีอยู่เดิม รวมถึงแคนาดาและสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งสองประเทศได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายเป้าหมายการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันใหม่ที่เกิดจากสงครามการค้าของ Trump




การเลิกสนับสนุนรถยนต์พลังไฟฟ้าครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนจากความทะเยอทะยานอันแรงกล้าที่ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐอเมริกาเคยส่งสัญญาณไว้ในปลายทศวรรษ 2010 มาสู่ความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ โดยก่อนหน้านี้ Mary Barra ซีอีโอของ GM ได้ตั้งเป้าว่าบริษัทจะมุ่งหน้าสู่สังคมปลอดมลพิษได้ในปี 2050

“ไม่มีน้ำมัน ไม่มีน้ำมันดีเซล ไม่มีการปล่อยคาร์บอนอีกต่อไป” เธอแถลงไว้ในขณะนั้น


แต่ความท้าทายหลายประการ ทั้งความกังวลด้านต้นทุน การยอมรับที่ซบเซา และการกลับลำของการสนับสนุนในวอชิงตัน ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา มีความไม่แน่นอนมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้า และโฆษกของGMกล่าวในแถลงการณ์ว่า การขาดทุนที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทต้องปรับมูลค่าสินทรัพย์รถยนต์ไฟฟ้าที่พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ถูกใช้งานหรือไม่ได้ใช้งานเลย ตามกฎบัญชี ซึ่งจะส่งผลกระทบในเชิงตัวเลขของผลประกอบการอย่างแน่นอน

“ความต้องการเติบโตช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีแนวโน้มว่าจะยังคงเติบโตต่อไป เนื่องจากแรงจูงใจของผู้บริโภคถูกยกเลิกไป และมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ” James Cain ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการเงินและการสื่อสารการขายของ GM กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการหยุดชะงักในหลายโครงการ แต่สำหรับผลผลิตที่เปิดตัวออกมาและทำตลาดแล้ว GM ยังคงนำเสนอผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า เช่น Chevrolet Equinox EV และ Cadillac LYRIQ ต่อไป และบริษัทจะหันไปลงทุนในเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงเคมีเซลล์แบตเตอรี่ใหม่ และสถาปัตยกรรมใหม่ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลกำไร และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ “One Big Beautiful Bill” ของ Trump จะยุติเครดิตภาษีอุดหนุนการซื้อรถยนต์พลังไฟฟ้า ก็เริ่มมีสัญญาณการต่อต้านรถยนต์ประเภทนี้ในหมู่ผู้บริโภคชาวสหรัฐฯ ผลสำรวจที่เผยแพร่ในเดือนสิงหาคม 2024 โดยกลุ่มข้อมูลยานยนต์ Edmunds.com แสดงให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับการค้นหาสถานีชาร์จ เวลาในการชาร์จ ความพร้อมใช้งาน และความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ผู้บริโภคจะไม่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

“พวกเขาบอกว่าไม่อยากยุ่งยากหรือไม่อยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ” Jessica Caldwell ฝ่ายข้อมูลเชิงลึกของ Edmunds.com ล่าว


ในไตรมาสที่สองของปี 2025 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามข้อมูล Cox Automotive ซึ่งระบุว่าแนวโน้มการเติบโตของรถยนต์พลังไฟฟ้า “ถูกจำกัด” และนักวิเคราะห์กล่าวว่าน่าจะเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของเครดิตภาษีที่สนับสนุนด้านการซื้อรถยนต์พลังไฟฟ้า

“เครดิตภาษีของรัฐบาลกลางเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้รถยนต์ไฟฟ้าได้รับการยอมรับ และการสิ้นสุดของเครดิตภาษีถือเป็นช่วงเวลาสำคัญ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเป็นบททดสอบว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีความพร้อมเพียงพอที่จะเติบโตด้วยปัจจัยพื้นฐานของตนเองหรือยังต้องการการสนับสนุนเพื่อขยายตัวต่อไป” Stephanie Valdez Streaty จาก Cox Automotive กล่าว

ในช่วงหนึ่ง รถยนต์ไฟฟ้าดูเหมือนจะพร้อมที่จะครองตลาดสหรัฐอเมริกา ภายใต้การนำของ Barra แห่ง GM อีกทั้ง Ford ได้ประกาศในปี 2018 ว่ามีแผนจะเพิ่มการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดเกือบสามเท่าภายในปี 2022 โดยมีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ 40 รุ่น อีกทั้ง Barra ยังเรียกร้องให้มีโครงการรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์แห่งชาติ (National Zero Emission Vehicle) เพื่อช่วยเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้าให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ทั่วสหรัฐอเมริกา

แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็หยุดนิ่ง และมีแนวโน้มว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา กำลังจะดิ่งลงในเรื่องของยอดขาย โดยKelley Blue Book รายงานว่าราคาเฉลี่ยของรถยนต์ใหม่ทะลุ 50,000 เหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยราคารถยนต์พลังไฟฟ้าสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายในประมาณ 7,000 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งค่าผ่อนรถยนต์เฉลี่ยต่อเดือนในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 749 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์ใหม่ และ 529 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์มือสอง

ถือเป็นเช่วงเวลาแห่งความยากลำบากสำหรับทั้งภาคเอกชนและภาคผู้บริโภคที่มีหัวใจสีเขียวอย่างแท้จริง


กำลังโหลดความคิดเห็น