เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับเจเนอเรชันใหม่ล่าสุดของ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (Land Rover Defender) ด้วยสนนราคาค่าตัวเริ่มต้น 5,400,000บาท ในรุ่น90 แบบ 3 ประตู และ 5,800,000 บาท ในรุ่น 110 แบบ 5 ประตู ซึ่งชื่อนี้มีประวัตศาสตร์ที่ยาวนานเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่สำหรับ เจเนอเรชันล่าสุดนั้น มีความแตกต่างอยู่ไม่น้อย ส่วนจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ติดตามทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ที่ไปทดลองขับมาเรียบร้อย
แรงพอตัว
การออกแบบภายนอก มากับแนวคิดดั้งเดิมที่คงเอกลักษณ์การเป็นกล่องเอาไว้ โดยเพิ่มความทันสมัยเข้ามาเสริมเช่น ไฟหน้าแบบครึ่งทรงกลมที่มาพร้อมระบบปรับความสูง-ต่ำอัตโนมัติ ไฟท้ายแบบLED ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ฝากระโปรงหน้าติดตั้งแผ่นกันลื่นเสริมความดุดัน โดยรุ่นที่จำหน่ายในไทยล็อตแรกเป็นแบบ 5 ประตู หลังจากนั้นรุ่น 3 ประตูจะตามมาเปิดตัวในภายหลัง
สิ่งสำคัญที่สุดของดีเฟนเดอร์ อยู่ที่การออกแบบให้สามารถลุยผ่านอุปสรรคต่างๆ ได้ โดยมุมหน้าเอียง 38 องศา ช่วงกลางรถสามารถขับผ่านเนินที่มีมุมสูงสุดได้ถึง 28 องศา และด้านท้ายมุมเอียง 40องศา ขณะที่ความสูงใต้ท้องรถนั้นอยู่ที่ 291 มิลลิเมตร หลังคาสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 300 กิโลกรัม
สเปกเบื้องต้น หัวใจใหม่มากับเครื่องยนต์ดีเซล4สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 240 แรงม้า ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 9.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 188 กม./ชม.
สำหรับโหมดการขับขี่ ดีเฟนเดอร์ใหม่ มีให้เลือกมากถึง 6 โหมด ได้แก่ normal ปกติ , wade ลุยน้ำ , rock/cawl ลุยหิน , mud and ruts ลุยโคลน , grass/gravel/snow กรวด/หิมะ และ sand ทราย โดยมีหัวใจสำคัญคือระบบช่วงล่างแบบถุงลมใหม่ ที่ดูดซับแรงและปรับระดับได้อย่างอิสระ
การออกแบบภายในคำนึงถึงเรื่องของสรีระและทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นสำคัญ โดยมีระบบเสริมความปลอดภัยมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์-เรดาร์รอบคัน กล้องมองภาพรอบคัน และกล้องหน้า-หลัง โดยแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 10 นิ้ว ที่ควบคุมด้วยตัวประมวลผลที่ล้ำสมัยอย่าง Snapdragon ช่วยให้การควบคุมต่างๆ ลื่นไหลรวมถึงระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย
ลุยได้ทุกที่
สำหรับการขับขี่นั้น ทีมงานแลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย ได้จัดให้เราทดลองขับ ณ สนามทดสอบรถยนต์ของกรมขนส่งทหารบก ซึ่งมีพื้นที่จำลองรูปแบบถนนและเส้นทางที่รองรับการขับขี่ของยานยนต์ได้ทุกรูปแบบแม้กระทั่ง รถถัง ก็สามารถนำมาขับทดสอบได้ โดยมีสถานีต่างๆ หลากหลายรูปแบบ โดยนำรุ่น 110 แบบ 5 ประตู มาให้เราได้ประเดิมขับ
เริ่มต้นกันที่จุดแรกเนินขึ้นเขาสูง ทางขึ้นไต่ระดับความชัน 45% (ไม่ใช่องศา) เรียกว่าเป็นจุดที่รถธรรมดาทั่วไปถ้ากำลังไม่พอจะไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ซึ่งเจ้า ดีเฟนเดอร์ ทำผลงานไต่ผ่านฉลุยพร้อมกับการลองหยุดกลางทาง เพื่อทดสอบระบบการออกตัวบนทางลาดชัน ที่จะหยุดให้ราว 2 วินาทีหลังการปล่อยเบรก แน่นอนว่า รถบางคันไต่ได้แต่ถ้าหยุดกลางทางแบบนี้จะไม่สามารถไปต่อได้หากกำลังไม่ถึงจริง ซึ่งความชันระดับนี้จังหวะออกตัว ดีเฟนเดอร์ยังต้องเรียกกำลังด้วยการกดคันเร่งลึกสักหน่อย
ส่วนทางลงนั้นเป็นความชันระดับ 60% ซึ่งหากมองจากมุมผู้ขับขี่ตอนขับลงนั้นความรู้สึกเหมือนจะตั้งฉากกับผิวโลกเลยทีเดียว ได้ความหวาดเสียวพอๆ กับจังหวะที่รถไฟเหาะกำลังลงจากจุดสูงสุด แต่ดีกว่าตรงที่ ดีเฟนเดอร์ นั้นมีระบบชะลอความเร็วขณะลงทางลาดชัน ซึ่งเราเปิดให้ระบบนี้ทำงาน รถค่อยๆ ไต่ลงมาโดยที่เราไม่จำเป็นต้องเหยียบเบรกแต่อย่างใด
หลังจากนั้นเป็นการขับไปบนถนนลาดยางและถนนลูกรัง ก่อนจะมาเจอกับทางลงถนนที่ชันมาก แต่ดีเฟนเดอร์ขับผ่านได้อย่างสบาย ตะลุยถนนดินที่มีแอ่งน้ำและโคลนเล็กน้อย จากนั้นมาลุยกับสถานีจำลองหญ้าสูงที่มีน้ำขังราว 40 ซม. ซึ่งเป็นพื้นดินที่เละและลื่น หากระบบขับเคลื่อนไม่ดีพอ โอกาสสไลด์ออกข้างทางหรือควบคุมทิศทางไม่ได้มีสูงมาก แต่ไม่มีปัญหาสำหรับ ดีเฟนเดอร์ ขับผ่านไปแบบสบายๆ
ถัดมาเป็นจุดทดลองการลุยน้ำ ที่คราวนี้เซ็ตระดับน้ำไว้สูง 60 ซม. ซึ่ง ดีเฟนเดอร์ เคลมการลุยน้ำไว้ที่ระดับความสูง 90 ซม. โดยไม่ได้รับความเสียหาย ดังนั้นระดับน้ำแค่นี้ผ่านสบายแน่นอน แต่ช้าก่อน ต้องไม่ลืมว่า จังหวะการขึ้นและลงนั้นจะมีมุมเอียงทำให้ความสูงของน้ำ 60 ซม. ในจังหวะลงนั้น น้ำท่วมถึงระดับฝากระโปรงหน้าเลยทีเดียว และจังหวะขึ้นด้านท้ายรถจะต้องแช่น้ำด้วย ผลลัพธ์จากการลุยดังกว่าง ดีเฟนเดอร์ ปลอดภัยไม่มีจุดใดเสียหายหรือน้ำเข้ามาถึง
หลังจากจุ่มน้ำกันมาสองสถานีจุดต่อไปเป็นการขับผ่านผิวที่เป็นหินก้อนใหญ่ ซึ่งมีทั้งแบบแหลมคมและลื่น ด้วยระยะทางไม่ยาวมากนัก ดีเฟนเดอร์ขับผ่านได้ แบบผู้ขับเองหวาดเสียวแทนเพราะกลัวว่ายางรถจะได้รับความเสียหาย แต่จากการลองขับมาหลายสิบรอบทั้งวัน ดีเฟนเดอร์ ยังคงสภาพการใช้งานปกติเอาไว้ได้
ต่อมาถึงจุดสุดท้ายทดลองพละกำลังด้วยการออกตัวแบบกดมิดคันเร่ง มีแรงดึงอาจจะไม่ถึงกับหลังติดเบาะแต่เพียงพอที่จะใช้คำว่า สนุกสนาน โดยระบบเบรกนั้นเอาอยู่เมื่อต้องกดกระแทกแรงๆ ในยามฉุกเฉิน การบังคับควบคุมพวงมาลัยนั้นเบามือ คล่องตัวและแม่นยำ สำหรับการลุยเช่นที่กล่าวมาทั้งหมด
สุดท้ายเราอำลา ดีเฟนเดอร์ กันด้วยการขับบนถนนปกติสั้นๆ ที่เพียงพอจะบอกได้ว่า เจ้าดีเฟนเดอร์นั้นมีความสบายในการขับขี่ไม่น้อยหน้ารุ่นอื่นๆ ในไลน์อัพการขายของ แลนด์ โรเวอร์ และหากเรามีโอกาสทดลองขับแบบยาวๆ เต็มๆ จะมานำเสนออีกครั้งหนึ่ง