ดูเหมือนว่านิสสันจะค้นพบเส้นทางที่ตัวเองต้องเดินไปข้างหน้าในตลาดรถยนต์แล้ว แน่นอนว่าคำว่า e-POWER, EV และ ProPilot คือ สิ่งที่พวกเขาพยายามนำเสนออย่างต่อเนื่องและเป็นคีย์แมสเสจ (message)ภายใต้แนวคิด “Nissan Intelligent Mobility” ในการนำบริษัทเดินหน้าสู่ยุคทศวรรษที่ 2020 ที่ว่ากันว่าโลกยานยนต์จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ในการเปิดบ้านที่ Yokohama ประเทศญี่ปุ่นในช่วงของการจัดงาน Tokyo Motor Show 2019 ที่นิสสัน เชิญสื่อมวลชนจากทั่วโลกเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น เป้าหมายระยะสั้นของพวกเขาในปี 2020 คือ การสร้างรากฐานของทั้ง 3 สิ่งนี้เพื่อให้เป็นพื้นที่แน่นหนาในการนำไปสู่เป้าหมายหลักคือ การขับเคลื่อนยุคใหม่แบบไร้คนขับ ไร้มลพิษ และไร้อุบัติเหตุ
Ivan Espinosa รองประธานที่รับผิดชอบในการทำหน้าที่วางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ของนิสสันในตลาดทั่วโลกกล่าวว่า ในปี 2022 นิสสัน เตรียมเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดมากถึง 8 รุ่น นอกเหนือจาก LEAF ที่มีอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปีในปี 2009 เป็นการแสดงให้เห็นถึงการตอบรับสู่การเดินหน้าเข้าสู่ยุคการขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษอย่างแท้จริง
แน่นอนว่านิสสันพยายามตรงนี้อย่างหนัก และต่อเนื่องนับจากที่พวกเขาเปิดตัว Mass Production EV รุ่นแรกของโลกเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และพยายามบอกว่า LEAF เป็นมากกว่ากว่ายานพาหนะ โดยเฉพาะไอเดียที่เจ๋งอย่างเช่น ถ้าถอดล้อรถออก นี่คือ เพาเวอร์แบงค์ ( Power Bank )ขนาดใหญ่เลยในการรองรับกับการใช้งานแบบครบวงจรในแง่ของครอบครัวไร้มลพิษ สามารถเก็บกระแสไฟฟ้าที่มาจากการชาร์จของโซลาร์เซลล์ หรือกังหันลมได้ เช่นเดียวกับการเป็นแหล่งพลังงานสำรองในกรณีที่เกิดภัยพิบัติและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเสียหาย
ดังนั้นในยุคที่โลกกำลังเดินหน้าไปสู่การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้านิสสันจึงถือเป็นผู้เล่นรายหลักของตลาด หลังจากที่พวกเขามองเห็นความเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่เนิ่นๆ และยอมกัดฟันลงทุนไปกับมันมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าเมื่อถึงเวลาปุ๊บแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนปั๊บ เพราะยังมีช่วงเวลาที่เรียกว่าสุญญากาศแห่งการเปลี่ยนผ่านอยู่ และนิสสันจำเป็นที่จะต้องมีตัวเชื่อมต่อเพื่อนำพาคนจากโลกที่คุ้นเคยแต่เครื่องยนต์สันดาปภายในหรือ I.C.E. มาสู่โลกที่ไร้การจุดระเบิด และนั่นคือบทบาทของ e-POWER
ทั้ง e-POWER และ EV จะทำงานร่วมกันเพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยตามแผนการแล้วนิสสันมองว่าในปี 2022 พวกเขาจะต้องมียอดขายของรถยนต์ที่ใช้ขุมพลังทั้ง 2 ประเภทนี้รวมกันถึง 1 ล้านคันต่อปี โดยในยุโรป ยอดขายต่อปีจะต้องเพิ่มจากปี 2018 ถึง 50% ให้ได้ และในจีนที่เป็นตลาดใหญ่จะต้องเพิ่มขึ้น 30% ส่วนตลาดกลุ่มอื่นๆ จะต้องมีรถยนต์ที่ใช้ขุมพลังทั้ง 2 แบบนี้วางขาย
อย่างที่เราทราบกันดี e-POWER คือ ขุมพลังลูกผสม หรือ Hybrid รูปแบบหนึ่งที่เราเรียกกันว่า Series Hybrid ซึ่งจะแตกต่างจาก Parallel Hybrid ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ปี 1997 เมื่อโตโยต้าเปิดตัว Prius รุ่นแรกออกสู่ตลาด ระบบของ Series จะกลับด้าน โดยนำเครื่องยนต์มาปั่นกระแสไฟฟ้า และให้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนแทน แนวคิดนี้ได้ประโยชน์ 2 ทางคือ ลดการปล่อยมลพิษลงได้เยอะ เพราะเครื่องยนต์ไม่จำเป็นต้องบล็อกใหญ่เนื่องจากไม่ได้มีโหลดในการทำงานเยอะ ทำหน้าที่แค่เป็นตัวปั่นไฟ และอีกข้อคือ เป็นการฝึกความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภคได้คุ้นชินก่อนที่จะเดินหน้าเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
สุดท้ายแล้วเป้าหมายที่ทุกคนมองในตอนนี้คือ การเข้าสู่ยุคการขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ หรือ Autonomous ซึ่งนิสสันเองก็มองเอาไว้ตั้งนาน และในงาน Tokyo Motor Show 2017 พวกเขาก็เผยแนวคิด Zero Fatality ออกมา โดยหนึ่งในระบบที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุอันเป็นผลมาจาก Human Error และถือเป็นหัวใจในการเดินหน้าสู่การขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ คือระบบ ProPilot ที่ นิสสัน เปิดตัวออกมาในปี 2016
อย่างไรก็ตาม ในอีก 3 ปีต่อมานี่คือเวอร์ชัน 2.0 ที่มีความฉลาดขึ้นมาก และเป็นระบบที่ถูกใช้งานแล้วในรถยนต์ที่จำหน่ายอยู่ในญี่ปุ่น นั่นคือ Nissan Skyline
ระบบ ProPilot 2.0 มีความสามารถมากขึ้นในการที่จะช่วยให้คนขับเดินทางอย่างมั่นใจโดยเฉพาะบนเส้นทางไฮเวย์ และตัวระบบสามารถควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถให้สอดคล้องกับสภาพการจราจรโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องทำอะไรเลย แม้แต่การเหยียบคันเร่ง หรือการถือพวงมาลัย แถมยังสามารถเร่งแซงรถยนต์คันหน้าที่แล่นช้ากว่าได้ด้วยเพียงแต่ฟังก์ชั่นการแซงนั้นคนขับยังต้องกดปุ่มให้ระบบทำงาน ซึ่งพอแซงเสร็จ ตัวรถก็จะกลับมาอยู่ในช่องทางเดิมได้ โดยทุกอย่างทำงานทำงานผ่านเซ็นเซอร์และกล้องจำนวนมากที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถ เช่นเดียวกับแผนที่แบบ 3 มิติที่มีความละเอียด
ถามว่านี่คือความใกล้เคียงกับระบบไร้คนขับแล้วหรือยัง คำตอบที่ได้คือ ยังไม่ได้ใกล้เคียง แต่ถือเป็นบันไดขั้นแรกที่สำคัญในการพัฒนาให้ตัวรถมีฟังก์ชั่นที่มากขึ้นนอกเหนือจากการแล่นตามกันเป็นขบวนเหมือนกับเวอร์ชัน 1.0 ที่ออกมาก่อนหน้านี้
ที่น่าสนใจคือนิสสัน ไม่หักดิบในการเล่นกับความรู้สึกของคนใช้รถยนต์ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ มักจะก่อให้เกิดคำถามมากมาย และหลายเทคโนโลยีที่ดีกลับแป๊กและไม่แจ้งเกิดได้เพราะความกลัวของคนใช้ แต่นิสสันเลือกที่จะค่อยๆ ปล่อยเพื่อทำให้คนได้สัมผัส คุ้นเคย และทดลองก่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจ จึงจะสามารถทลายกำแพงที่ผู้บริโภคตั้งเอาไว้ เหมือนอย่างที่ e-POWER และ ProPilot กำลังทำหน้าที่นี้ เพื่อเมื่อไรที่พวกเขารู้และไม่มีความกลัว โอกาสที่จะได้รับการต้อนรับที่ดีก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะเห็นได้กว่าทั้ง 3 ส่วนมีความเกี่ยวเนื่องและเกี่ยวพันกันอย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปลายทางในการพัฒนา นั่นคือ การสู่ยุค Zero Emission & Zero Fatality หรือโลกแห่งการขับเคลื่อนที่ไร้มลพิษ (รถยนต์ไฟฟ้า) และปราศจากอุบัติเหตุ ( ProPilot ) ที่พวกเขาประกาศเอาไว้ตั้งแต่ปี 2017