รถยนต์ไฟฟ้า เริ่มทยอยเปิดตัวแล้วซึ่งแต่ละค่ายขนทัพมาให้ชมกันในงาน มอเตอร์โชว์ 39 มีทั้งแบรนด์เก่าและแบรนด์ใหม่หลากหลายยี่ห้อ พร้อมเนรมิตเวทีในงานให้ผู้ชมได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น เร้าใจ
เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมกับ “รถยนต์ไฟฟ้า” ในประเทศไทยที่หลายค่ายทั้งหน้าใหม่หน้าเก่า ยึดเวทีมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 39 ทยอยเปิดตัวรถใหม่ แนะนำแบรนด์พร้อมทำตลาด ไล่เรียงจากราคาถูกสุดราว 3 แสนบาท “ทาคาโน่” รถกระบะไฟฟ้า, “ฟอมม์” พร้อมจำหน่าย, น้องใหม่ สัญชาติไทย“ไมน์” ,ยักษ์ใหญ่จากจีน “บีวายดี” และ “ฮุนได” ที่เคาะขาย “ไอโอนิค” ด้วยราคา 1,749,000 บาท เตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ในปีหน้า 2562
เรียกเสียงฮือฮาทั่วทั้งาน เมื่อค่ายรถยนต์ที่มุ่งหวังทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรายใหม่รายเก่าปีนี้อาศัย เวที มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 แจ้งเกิดแนะนำแบรนด์ตัวเองพร้อมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เปิดตัวสู่สาธารณชนทั้งในรูปแบบของรถโปรดักชันพร้อมจำหน่ายและรถต้นแบบ เพื่อสำรวจตลาด ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมไฮไลต์ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จ่อคิวลุยทำตลาดในเมืองไทยมาให้ชมกัน
“ทาคาโน่” กระบะไฟฟ้าคาดเริ่ม 300,000 บาท
แบรนด์น้องใหม่ที่มาเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์นี้เป็นครั้งแรก สำหรับ ทาคาโน่ โดยจะทำตลาดด้วยรถไฟฟ้าแบบกระบะ ขนาดเล็กกระทะรัด ตัวรถยาวเพียง 3.2 เมตรเท่านั้น และมีน้ำหนักรถเปล่าที่ 710 กิโลกรัม ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 72 โวลต์ ที่มีกำลังสูงสุด 5 กิโลวัตต์ โดยอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขนาดมาตรฐานแบบ 12 โวลต์ 125 แอมป์ จำนวน 6 ลูกที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นกระบะ
ขณะที่ ทาคาโน่ กระบะ จะมีถังน้ำมันขนาด 5 ลิตรและเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพื่อทำการปั่นไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ ใช้ในการขับเคลื่อนตัวรถ โดยวิ่งได้ระยะทางไกลสุดราว 110 กม. ส่วนราคาจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 300,000-350,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อทำการศึกษาก่อนวางจำหน่ายจริง
“ฟอมม์” รถยนต์ไฟฟ้าซิตี้คาร์ 4 ที่นั่งกับราคาพิเศษ 599,900 บาท
ชื่อของ ฟอมม์ หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นหูอยู่บ้างหากติดตามข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ฟอมม์ เป็นค่ายรถยนต์น้องใหม่ค่ายแรกๆ ที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตด้วย
สำหรับฟอมม์ ผู้ก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวญี่ปุ่น ดังนั้นรถของฟอมม์ จึงถือว่าเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่น โดยรุ่นแรกใช้ชื่อว่า วัน (ONE) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบฝังในล้อ (Motor in Wheel) ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดสำหรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการเคลมว่า สามารถลอยน้ำได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำท่วมแต่อย่างใด
ฟอมม์ วัน เปิดตัวด้วยราคาจำหน่าย 664,000 บาท แต่สำหรับผู้จองในงานมอเตอร์โชว์จะอยู่ที่ราคาพิเศษ 599,900 บาท ด้วยเงินจองเพียง 5,000 บาท และสามารถขอเงินคืนได้กรณีที่ลองรถแล้วไม่พอใจ โดยมีกำหนดเริ่มส่งมอบรถให้กับผู้ที่จองได้ราวต้นปี พ.ศ. 2562 และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการมิใช่ใครอื่น แต่เป็น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นั่นเอง
“ไมน์” รถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย100%
กลายเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สที่สุดของงานนี้ก็ว่าได้ เมื่อกลุ่มของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์หรือ EA เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบไฟฟ้าถึง 3 รุ่นในงานนี้ หลังจากที่เคยประกาศว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วย เนื่องด้วยตัวบริษัทฯ แม่เองนั้นทำเรื่องเกี่ยวกับสถานีชาร์จพลังงงานไฟฟ้า
สำหรับรถต้นแบบจะทำตลาดแน่นอน 2 รุ่นคือ ซีตี้คาร์ และ เอ็มพีวี ส่วนแบบสปอร์ต ขอรอดูกระแสความต้องการของผู้บริโภคก่อน โดยในงานนี้ตั้งเป้านำรถมาโชว์เพื่อเก็บข้อมูลนำไปใช้ในการสร้างรถคันจริงออกจำหน่าย นัยว่าจะได้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน
สนนราคาเบื้องต้น รุ่นซิตี้คาร์ แบบ 2 ประตู 2 ที่นั่งจะพยายามทำราคาให้ไม่เกิน 600,000 บาท ส่วนรุ่น เอ็มพีวี จะทำราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ทั้งสองรุ่นเกิดจากความร่วมมือกันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยหลากหลายรายที่พร้อมใจสนับสนุนให้เกิดเป็นแบรนด์รถยนต์ของคนไทยแท้ๆ โดยมีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีพ.ศ. 2562
“บีวายดี” พร้อมเต็มที่ ขายแล้ว 100 คัน
สำหรับแบรนด์จีน “บีวายดี” หลังจากเปลี่ยนผู้ทำตลาดรายใหม่มาเป็น “เอเจและชาริช โฮลดิ้ง” ซึ่งมิใช่ใครอื่นๆ ทายาทจากตระกูลยานยนต์เก่าแก่ของไทย “ลีนุตพงษ์” เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว อี6 ในการเจาะตลาดรถสาธารณะเป็นหลัก และแม้จะมีราคาสูงถึง คันละ 1.89 ล้านบาท แต่ล่าสุดมีการเซ็นสัญญาจำหน่ายเป็นจำนวน 100 คัน เพื่อนำไปใช้เป็นแท็กซี่ส่วนบุคคลเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ทั้งนี้นอกจาก บีวายดี ที่มีทั้งรถเอนกประสงค์ , รถตู้ และรถบัสแบบไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว ทางกลุ่มของชาริช โฮลดิ้ง ได้ทำตลาดรถไฟฟ้า เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น “เทสล่า” ที่นำเข้ามาจำหน่ายพร้อมให้บริการหลังการขาย รวมถึง รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า “นิว” ที่เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นอีกหนึ่งค่ายที่รุกทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
“ฮุนได” ส่ง ไอโอนิค บุกเบิกตลาดรถไฟฟ้า
เป็นแบรนด์หลักที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยอย่างดีกับครั้งแรกในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ไอโอนิค” รถยนต์ไฟฟ้าที่มากับเทคโนโลยีใหม่ พิกัดการขับขี่ระยะทางยาวไกลระดับ 280 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง ที่ใช้เวลาชาร์จประมาณ 4 ชั่วโมง 25 นาที
ฮุนได ไอโอนิค เปิดตัวด้วยราคา 1,749,000 บาท นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากเกาหลีใต้ โดยมาพร้อมกับการรับประกัน 3 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ส่วนแบตเตอรี่ 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เพื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
“นิสสัน ลีฟ” มาแน่ แต่รอหน่อย
นิสสัน ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการทำตลาด “ลีฟ” ในประเทศไทยว่าจะวางจำหน่ายแน่นอนภายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างขะมักเขม้นร่วมกับภาครัฐเพื่อให้สามารถทำราคาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคซื้อหาได้ ดังนั้นระหว่างนี้เราจะเห็น นิสสัน ลีฟ ปรากฏตัวตามพื้นที่จัดแสดงงานต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนการจับจองเป็นเจ้าของอดใจรออีกหน่อย
ถึงบรรทัดนี้ ชัดเจนว่าหลายค่ายขยับตัว แสดงจุดยืนและความพร้อมของตัวเอง ส่วนตัวรถยนต์แท้จริงแล้วส่วนใหญ่จะพร้อมในปีหน้า พ.ศ. 2562 ดังนั้น ปีนี้เก็บข้อมูลให้ดี แล้วปีหน้าเรามาตัดสินใจกัน.
เริ่มต้นอย่างเป็นรูปธรรมกับ “รถยนต์ไฟฟ้า” ในประเทศไทยที่หลายค่ายทั้งหน้าใหม่หน้าเก่า ยึดเวทีมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 39 ทยอยเปิดตัวรถใหม่ แนะนำแบรนด์พร้อมทำตลาด ไล่เรียงจากราคาถูกสุดราว 3 แสนบาท “ทาคาโน่” รถกระบะไฟฟ้า, “ฟอมม์” พร้อมจำหน่าย, น้องใหม่ สัญชาติไทย“ไมน์” ,ยักษ์ใหญ่จากจีน “บีวายดี” และ “ฮุนได” ที่เคาะขาย “ไอโอนิค” ด้วยราคา 1,749,000 บาท เตรียมรับมือการเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ในปีหน้า 2562
เรียกเสียงฮือฮาทั่วทั้งาน เมื่อค่ายรถยนต์ที่มุ่งหวังทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งรายใหม่รายเก่าปีนี้อาศัย เวที มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 39 แจ้งเกิดแนะนำแบรนด์ตัวเองพร้อมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เปิดตัวสู่สาธารณชนทั้งในรูปแบบของรถโปรดักชันพร้อมจำหน่ายและรถต้นแบบ เพื่อสำรวจตลาด ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมไฮไลต์ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่จ่อคิวลุยทำตลาดในเมืองไทยมาให้ชมกัน
“ทาคาโน่” กระบะไฟฟ้าคาดเริ่ม 300,000 บาท
แบรนด์น้องใหม่ที่มาเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์นี้เป็นครั้งแรก สำหรับ ทาคาโน่ โดยจะทำตลาดด้วยรถไฟฟ้าแบบกระบะ ขนาดเล็กกระทะรัด ตัวรถยาวเพียง 3.2 เมตรเท่านั้น และมีน้ำหนักรถเปล่าที่ 710 กิโลกรัม ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 72 โวลต์ ที่มีกำลังสูงสุด 5 กิโลวัตต์ โดยอาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ขนาดมาตรฐานแบบ 12 โวลต์ 125 แอมป์ จำนวน 6 ลูกที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นกระบะ
ขณะที่ ทาคาโน่ กระบะ จะมีถังน้ำมันขนาด 5 ลิตรและเครื่องยนต์ขนาดเล็กเพื่อทำการปั่นไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ ใช้ในการขับเคลื่อนตัวรถ โดยวิ่งได้ระยะทางไกลสุดราว 110 กม. ส่วนราคาจำหน่ายคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 300,000-350,000 บาท โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อทำการศึกษาก่อนวางจำหน่ายจริง
“ฟอมม์” รถยนต์ไฟฟ้าซิตี้คาร์ 4 ที่นั่งกับราคาพิเศษ 599,900 บาท
ชื่อของ ฟอมม์ หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นหูอยู่บ้างหากติดตามข่าวเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมาก่อนหน้านี้ เนื่องจาก ฟอมม์ เป็นค่ายรถยนต์น้องใหม่ค่ายแรกๆ ที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิตด้วย
สำหรับฟอมม์ ผู้ก่อตั้งเป็นวิศวกรชาวญี่ปุ่น ดังนั้นรถของฟอมม์ จึงถือว่าเป็นรถสัญชาติญี่ปุ่น โดยรุ่นแรกใช้ชื่อว่า วัน (ONE) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบฝังในล้อ (Motor in Wheel) ที่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดสำหรับการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงการเคลมว่า สามารถลอยน้ำได้ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำท่วมแต่อย่างใด
ฟอมม์ วัน เปิดตัวด้วยราคาจำหน่าย 664,000 บาท แต่สำหรับผู้จองในงานมอเตอร์โชว์จะอยู่ที่ราคาพิเศษ 599,900 บาท ด้วยเงินจองเพียง 5,000 บาท และสามารถขอเงินคืนได้กรณีที่ลองรถแล้วไม่พอใจ โดยมีกำหนดเริ่มส่งมอบรถให้กับผู้ที่จองได้ราวต้นปี พ.ศ. 2562 และตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการมิใช่ใครอื่น แต่เป็น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นั่นเอง
“ไมน์” รถยนต์ไฟฟ้าของคนไทย100%
กลายเป็นเรื่องเซอร์ไพร์สที่สุดของงานนี้ก็ว่าได้ เมื่อกลุ่มของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์หรือ EA เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบไฟฟ้าถึง 3 รุ่นในงานนี้ หลังจากที่เคยประกาศว่าจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าด้วย เนื่องด้วยตัวบริษัทฯ แม่เองนั้นทำเรื่องเกี่ยวกับสถานีชาร์จพลังงงานไฟฟ้า
สำหรับรถต้นแบบจะทำตลาดแน่นอน 2 รุ่นคือ ซีตี้คาร์ และ เอ็มพีวี ส่วนแบบสปอร์ต ขอรอดูกระแสความต้องการของผู้บริโภคก่อน โดยในงานนี้ตั้งเป้านำรถมาโชว์เพื่อเก็บข้อมูลนำไปใช้ในการสร้างรถคันจริงออกจำหน่าย นัยว่าจะได้ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ใช้งาน
สนนราคาเบื้องต้น รุ่นซิตี้คาร์ แบบ 2 ประตู 2 ที่นั่งจะพยายามทำราคาให้ไม่เกิน 600,000 บาท ส่วนรุ่น เอ็มพีวี จะทำราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ทั้งสองรุ่นเกิดจากความร่วมมือกันของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศไทยหลากหลายรายที่พร้อมใจสนับสนุนให้เกิดเป็นแบรนด์รถยนต์ของคนไทยแท้ๆ โดยมีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีพ.ศ. 2562
“บีวายดี” พร้อมเต็มที่ ขายแล้ว 100 คัน
สำหรับแบรนด์จีน “บีวายดี” หลังจากเปลี่ยนผู้ทำตลาดรายใหม่มาเป็น “เอเจและชาริช โฮลดิ้ง” ซึ่งมิใช่ใครอื่นๆ ทายาทจากตระกูลยานยนต์เก่าแก่ของไทย “ลีนุตพงษ์” เข้ามาทำตลาดอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดตัว อี6 ในการเจาะตลาดรถสาธารณะเป็นหลัก และแม้จะมีราคาสูงถึง คันละ 1.89 ล้านบาท แต่ล่าสุดมีการเซ็นสัญญาจำหน่ายเป็นจำนวน 100 คัน เพื่อนำไปใช้เป็นแท็กซี่ส่วนบุคคลเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ทั้งนี้นอกจาก บีวายดี ที่มีทั้งรถเอนกประสงค์ , รถตู้ และรถบัสแบบไฟฟ้าทั้งหมดแล้ว ทางกลุ่มของชาริช โฮลดิ้ง ได้ทำตลาดรถไฟฟ้า เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น “เทสล่า” ที่นำเข้ามาจำหน่ายพร้อมให้บริการหลังการขาย รวมถึง รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า “นิว” ที่เพิ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อเร็วๆ นี้ เป็นอีกหนึ่งค่ายที่รุกทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ
“ฮุนได” ส่ง ไอโอนิค บุกเบิกตลาดรถไฟฟ้า
เป็นแบรนด์หลักที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยอย่างดีกับครั้งแรกในการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ไอโอนิค” รถยนต์ไฟฟ้าที่มากับเทคโนโลยีใหม่ พิกัดการขับขี่ระยะทางยาวไกลระดับ 280 กิโลเมตรต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็มหนึ่งครั้ง ที่ใช้เวลาชาร์จประมาณ 4 ชั่วโมง 25 นาที
ฮุนได ไอโอนิค เปิดตัวด้วยราคา 1,749,000 บาท นำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากเกาหลีใต้ โดยมาพร้อมกับการรับประกัน 3 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ส่วนแบตเตอรี่ 8 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เพื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
“นิสสัน ลีฟ” มาแน่ แต่รอหน่อย
นิสสัน ประกาศอย่างเป็นทางการสำหรับการทำตลาด “ลีฟ” ในประเทศไทยว่าจะวางจำหน่ายแน่นอนภายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างขะมักเขม้นร่วมกับภาครัฐเพื่อให้สามารถทำราคาอยู่ในระดับที่ผู้บริโภคซื้อหาได้ ดังนั้นระหว่างนี้เราจะเห็น นิสสัน ลีฟ ปรากฏตัวตามพื้นที่จัดแสดงงานต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ ส่วนการจับจองเป็นเจ้าของอดใจรออีกหน่อย
ถึงบรรทัดนี้ ชัดเจนว่าหลายค่ายขยับตัว แสดงจุดยืนและความพร้อมของตัวเอง ส่วนตัวรถยนต์แท้จริงแล้วส่วนใหญ่จะพร้อมในปีหน้า พ.ศ. 2562 ดังนั้น ปีนี้เก็บข้อมูลให้ดี แล้วปีหน้าเรามาตัดสินใจกัน.