xs
xsm
sm
md
lg

มหากาพย์ดีเซลเกต ยิ่งสาวยิ่งเซอร์ไพรส์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เดมเลอร์ 1 ใน 5 ค่ายรถเมืองเบียร์ที่มีข่าวว่า กำลังถูกตรวจสอบในข้อกล่าวหาใหม่เรื่องการสมคบกันกำหนดมาตรฐาน และแชร์เคล็ดลับวิธีดัดแปลงซอฟต์แวร์เพื่อโกงการทดสอบค่าไอเสียของรถเครื่องยนต์ดีเซล
หลายคนลงความเห็นว่า ถ้าความเสียหายจากดีเซลเกตสุดอื้อฉาวของโฟล์คสวาเกนเป็นหนัง คงออกมาโทนเดียวกับ “วอลล์สตรีท” หรือ “อินไซเดอร์” ที่ว่าด้วยเรื่องราวความโลภโมโทสันในองค์กรธุรกิจ

แต่ถ้าเจ้าหน้าที่สอบสวนของยุโรปพิสูจน์ได้ว่า ข้อกล่าวหาใหม่ล่าสุดเป็นเรื่องจริง ดีเซลเกตน่าจะไปพ้องกับ “เดอะ แมทริกซ์” มากกว่า เพราะดูเหมือนว่า พล็อตเรื่องถลำลงในโพรงกระต่ายลึกลงทุกที ประมาณว่ายิ่งขุดลึกเท่าไหร่ ยิ่งเจอเซอร์ไพรส์ชวนพิศวง

ออโต้คาร์ นิตยสารยานยนต์ของอังกฤษ จั่วหัวเรื่องว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (22) คณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป (อียู) ได้เปิดการสอบสวนความเป็นไปได้จากข้อกล่าวหาใหม่กับบริษัทรถยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ 5 แห่ง ได้แก่ ออดี้, บีเอ็มดับเบิลยู, เมอร์เซเดส-เบนซ์, ปอร์เช่ และโฟล์คสวาเกน หลังจากอดีตพนักงานของโฟล์คสวาเกนมอบหลักฐานที่ตีแผ่ว่า บริษัททั้งห้าร่วมมือกันกำหนดมาตรฐาน และแชร์เคล็ดลับวิธีดัดแปลงซอฟต์แวร์เพื่อโกงการทดสอบค่าไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซล

การสมรู้ร่วมคิดดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1990 โดยพนักงานรวมทั้งสิ้น 200 คนของทั้ง 5 บริษัทตั้งวงถกกันทั้งเรื่องฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งในรถเครื่องยนต์ดีเซล ว่ากันว่า การหารือเหล่านี้ดำเนินต่อเนื่องจนถึงปี 2010 เป็นอย่างน้อย โดยในปีนั้นมีการประชุมแบบปิดลับด้านนอกงานปารีส มอเตอร์ โชว์

แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่สมบูรณ์ของการหารือเหล่านี้ แต่อดีตพนักงานของโฟล์คสวาเกนตั้งข้อสังเกตว่า การพูดคุยส่วนใหญ่พุ่งประเด็นที่ขนาดแทงค์ยูเรียในรถเครื่องยนต์ดีเซล และซอฟต์แวร์ที่สามารถปิดการทำงานระบบลดแคทาลิติกของรถที่ระดับอุณหภูมิที่กำหนด ซึ่งจะช่วยเพิ่มอายุการใช้งานของยูเรีย แต่ทำให้ระบบไม่สามารถกรองคาร์บอนไดออกไซด์และไอเสียอย่างเพียงพอ

อันที่จริงผู้ที่เปิดประเด็นนี้รายแรกคือนิตยสารแดร์ สปีเกลของเยอรมนี ที่ตีข่าวตั้งแต่วันศุกร์ (21) โดยอ้างอิงจดหมายที่โฟล์คสวาเกนและเดมเลอร์ส่งถึงหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดตลาดของเยอรมนีว่า บริษัททั้งห้าอาจสมคบกันตั้งราคาระบบบำบัดไอเสียในเครื่องยนต์ดีเซลผ่านคณะทำงาน 60 ชุด ประกอบด้วยพนักงาน 200 คนที่หารือกันเรื่องการพัฒนารถทุกแง่มุม ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เบรก คลัตช์ เกียร์ ต้นทุน ตัวเลือกซัปพลายเออร์ ราคาชิ้นส่วน ตลาด และกลยุทธ์ ตลอดจนถึงระบบบำบัดไอเสีย

แดร์ สปีเกลยังบอกอีกว่า คณะทำงานเหล่านี้ประชุมกันนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ปี 2006 เพื่อหาทางลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ที่เป็นอันตรายจากเครื่องยนต์ดีเซล

ในที่สุด บริษัทรถทั้งห้าก็ตกลงกันว่า จะติดตั้งแทงค์ขนาดเล็กบรรจุสารละลายแอดบลูที่ใช้สำหรับแปลงก๊าซต่างๆ ให้กลายเป็นน้ำและไนโตรเจนที่ปราศจากอันตราย แทนที่จะเป็นแทงค์ขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนสูงกว่า

ปัญหาก็คือ แทงค์ที่ตกลงติดตั้งมีขนาดเล็กเกินกว่าจะทำความสะอาดไอเสียที่รถปล่อยออกสู่สภาพแวดล้อมอย่างเพียงพอ และนี่คือจุดเริ่มต้นของดีเซลเกต

เดือนกันยายน 2015 โฟล์คสวาเกนยอมรับว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์โกงค่าไอเสียในรถเครื่องยนต์ดีเซล 11 ล้านคันทั่วโลก โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวจะลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์เมื่อใดก็ตามที่รถถูกตรวจวัดการปล่อยไอเสีย

จนถึงตอนนี้มีเพียงโฟล์คสวาเกน, ออดี้ และปอร์เช่ที่ยอมรับว่า ติดตั้งอุปกรณ์โกงค่าไอเสียในรถเครื่องยนต์ดีเซล อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ทางการเยอรมนีได้บุกตรวจโรงงานหลายแห่งของเดมเลอร์ เนื่องจากสงสัยว่า เกี่ยวข้องกับดีเซลเกตด้วย และสัปดาห์ที่แล้ว เดมเลอร์ยังประกาศเรียกคืนรถเครื่องยนต์ดีเซล 3 ล้านคันเพื่ออัพเดตซอฟต์แวร์

แดร์ สปีเกลบอกว่า โฟล์คสวาเกนยอมรับในจดหมายที่ลงวันที่ 4 กรกฎาคมว่า ความร่วมมือของบริษัททั้งห้าอาจครอบคลุมถึงพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขัน
เมื่อนักข่าวพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ ทั้งโฟล์คสวาเกน, บีเอ็มดับเบิลยู และเดมเลอร์ต่างปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้

ทางด้านโฆษกหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดตลาดของเยอรมนีของดออกความเห็นเช่นเดียวกัน แต่พูดเป็นนัยเรื่องการบุกค้นบริษัท 6 แห่งเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้วภายใต้ข้อสงสัยว่า มีการจัดซื้อเหล็กกล้าที่เข้าข่ายละเมิดกฎหมายต่อต้านการแข่งขัน

ตอนนั้น บีเอ็มดับเบิลยู, โฟล์คสวาเกน และเดมเลอร์ ต่างยอมรับว่า ถูกตรวจค้น
อย่างไรก็ตาม โฆษกหน่วยงานต่อต้านการผูกขาดตลาดสำทับว่า ขณะนี้ ทุกบริษัทยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าการสอบสวนจะได้ข้อสรุป

ข้อกล่าวหาล่าสุดถือเป็นข่าวร้ายอย่างยิ่งสำหรับทั้งห้าบริษัท เพราะลำพังการสอบสวนกรณีดีเซลเกตกับโฟล์คสวาเกนและบริษัทในเครือคือออดี้ และปอร์เช่ ก็พบรายละเอียดที่เลวร้ายมากพออยู่แล้ว ยิ่งถ้าสอบพบว่า ข้อกล่าวหาใหม่เป็นเรื่องจริง จะถือเป็นหนึ่งในกรณีอื้อฉาวที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกเหนือจากแนวโน้มที่บริษัทเหล่านี้จะถูกปรับเป็นมูลค่าถึง 10% ของยอดขายทั่วโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น