แปลกแต่จริง บรรดาค่ายรถใหญ่ใส่เกียร์เต็มเหยียดแข่งกันเพื่อเข้าเส้นชัยในเส้นทางยานยนต์อัตโนมัติ แต่กลับเชื่องช้าในการปรับใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ราคาถูกกว่ากันมากอย่างเช่นระบบเบรกอัตโนมัติ ทั้งที่เทคโนโลยีนี้สามารถป้องกันการเสียชีวิตและบาดเจ็บได้ปีละหลายพันคนจากการชนทั้งโดยไม่ตั้งใจและโดยเจตนา ดังเช่นกรณีการก่อการร้ายที่แม้ป้องกันไม่ได้ทั้งหมด แต่ยังช่วยลดระดับความรุนแรงและการสูญเสียได้
นิสสัน มอเตอร์ ประกาศติดตั้งระบบเบรกอัตโนมัติ( Automatic Emergency Braking - AEB) เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยนต์และรถบรรทุกขนาดเล็กรุ่นปี 2018 ที่ขายในอเมริการาว 1 ล้านคัน ซึ่งรวมถึงเอสยูวีอย่างโร้ก (เอ็กซ์เทรล), ซีดานอัลติมาและแม็กซีมา, รถไฟฟ้าลีฟ และรถเล็กเซนทรา
ก่อนหน้านั้น โตโยต้า มอเตอร์ คู่แข่งชาติเดียวกัน ประกาศว่า จะติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถเกือบทุกรุ่นที่ขายในอเมริกาภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วบริษัทรถส่วนใหญ่ไม่ได้รีบร้อนติดตั้งระบบ AEB เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์มาตรฐานในรถกระแสหลักที่ขายในอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงแต่อย่างใด แม้ถูกกดดันจากหน่วยงานควบคุม สมาชิกรัฐสภา และองค์กรรณรงค์ด้านความปลอดภัยก็ตาม
จนถึงตอนนี้ มีรถเพียง 17% ที่ทดสอบโดยสถาบันประกันภัยเพื่อความปลอดภัยบนทางหลวงที่ติดตั้งระบบเบรกป้องกันการชนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และรถเหล่านี้จำนวนมากเป็นรถหรูของผู้ผลิตยุโรปและญี่ปุ่น
ปีที่แล้ว บริษัทรถ 20 แห่งบรรลุข้อตกลงโดยสมัครใจกับหน่วยงานควบคุมความปลอดภัยของรถยนต์ของอเมริกา เพื่อติดตั้งระบบเบรกป้องกันการชนเป็นอุปกรณ์มาตรฐานภายในปี 2022
แต่กรอบเวลาดังกล่าวดูเหมือนชักช้าไม่ทันใจ องค์กรรณรงค์เพื่อความปลอดภัยได้ยื่นคำร้องให้สำนักงานความปลอดภัยทางหลวงแห่งชาติของสหรัฐฯ (NHTSA) เริ่มกระบวนการตามกฎหมายเพื่อบังคับให้ค่ายรถติดตั้งระบบนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน แต่ NHTSA มองว่า ข้อตกลงตามความสมัครใจจะได้ผลดีกว่าและเร็วกว่าการใช้กฎหมายบังคับ
มาร์ค โรสไคด์ ผู้บริหารของ NHTSA เชื่อว่า เทคโนโลยีนี้ช่วยลดสถิติการชนได้ถึง 1 ใน 5 ซึ่งเท่ากับ 1 ล้านกรณี จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นปีละ 5 ล้านกรณี
กระนั้น AEB กลับกลายเป็นนวัตกรรมลูกเมียน้อย เนื่องจากบรรดาค่ายรถต่างๆ ตั้งหน้าตั้งตาผลักดันเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติที่มีราคาแพงกว่ามาก ภายใต้ความคาดหวังว่า ยานยนต์ไร้คนขับจะช่วยส่งเสริมบริการขนส่งที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำและกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุน
เจเนอรัล มอเตอร์ (GM) นำเสนอระบบ AEB เป็นออปชั่นในรถ 2 ใน 3 รุ่น และจนถึงล่าสุด ยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยแผนติดตั้งเทคโนโลยีนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานแต่อย่างใด
สำหรับฟอร์ด มอเตอร์นั้น แถลงเมื่อวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (8) ว่า มีแผนติดตั้ง AEB เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน “ในอนาคต” จากขณะนี้ที่เป็นออปชั่นในรถปี 2017 หลายรุ่นของฟอร์ดและลินคอล์น และบางรุ่นของปี 2018 อาทิ ปิ๊กอัพยอดนิยม F-150
ด้านเฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิลส์เสนอระบบ AEB เป็นออปชั่นในรถ 9 รุ่น โดยใช้กล้องและเรดาร์ตรวจจับความเสี่ยงด้านหน้ารถ บริษัทเผยว่า จะติดตั้งระบบนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตามเป้าหมายในปี 2022
ดีน แมคคอนเนลล์ ผู้บริหารของบริษัทในเครือในอเมริกาเหนือของคอนติเนนตัลจากเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้จัดหาระบบ AEB ให้รถนิสสันบางรุ่น เชื่อว่า รถปี 2018 ที่จะออกมาในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลายรุ่นจะติดตั้งระบบ AEB
ในส่วนนิสสันไม่ได้เปิดเผยว่า รถที่ติดตั้งระบบ AEB เป็นอุปกรณ์พื้นฐานจะมีราคาแพงขึ้นเท่าไหร่ แต่บอกแค่ว่า รถรุ่นปี 2018 จะเปิดตัวปลายปีนี้ และคอนติเนนตัล และโรเบิร์ต บ๊อชจะเป็นผู้ผลิต AEB ป้อนให้บริษัท
นิสสันเชื่อว่า ความเคลื่อนไหวนี้จะช่วยให้ถนนมีความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้ 33% ของอุบัติเหตุที่ตำรวจได้รับแจ้งเกี่ยวข้องกับการชนท้าย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการประเมินว่า ระบบอย่างเช่น AEB ที่ช่วยลดหรือขจัดการชนท้าย จะลดการเคลมประกันกรณีการบาดเจ็บได้ถึง 35%
AEB ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันหรือบรรเทาผลลัพธ์จากการชน โดยระบบนี้ซึ่งต้องใช้เซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์มากกว่าระบบเบรกปกติทั่วไป สามารถคาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดการชนได้คร่าวๆ ด้วยการสแกนทางข้างหน้าตลอดเวลา จากนั้นจึงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดทอนความรุนแรงในการชน โดยปกติแล้วระบบนี้จะส่งเสียงเตือน หรือบางรุ่นจะมีทั้งเสียงเตือนและไฟสีแดงกะพริบบนหน้าปัดรถเมื่อตรวจพบความเสี่ยงในการชน หากคนขับยังนิ่งเฉยหรือส่วนควบคุมอื่นๆ ทำงานอยู่ ระบบ AEB จะเปิดทำงานเบรกฉุกเฉินเมื่อคอมพิวเตอร์ตรวจพบการกระแทกครั้งแรก นั่นหมายความว่า แม้ป้องกันโศกนาฏกรรมไม่ได้กรณีที่รถวิ่งมาด้วยความเร็วสูงหรือคนขับจงใจขับรถพุ่งชน แต่ยังสามารถลดความรุนแรงและการสูญเสียได้