ฮอนด้าประกาศวิสัยทัศน์ 2030 ในการขึ้นเป็นผู้นำทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในการขับขี่ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ค่ายรถแถวหน้าจากแดนปลาดิบแห่งนี้เปิดเผยรายละเอียดในการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับระดับ 4 ที่สามารถวิ่งบนถนนในเมืองได้ภายในปี 2025
ฮอนด้า มอเตอร์ของญี่ปุ่นร่ายยาววิสัยทัศน์ 2030 ซึ่งเป็นแผนยุทธศาสตร์ระยะกลาง โดยบริษัทจะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างฝ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D) การจัดซื้อ และการผลิตเพื่อลดต้นทุนในการพัฒนา เนื่องจากรถยนต์ในรูปแบบดั้งเดิมมีแนวโน้มอยู่รอดยากขณะที่อุตสาหกรรมเคลื่อนเข้าสู่วงจรยานยนต์อัตโนมัติอย่างรวดเร็ว
ทาคาฮิโร ฮาชิโกะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (CEO) ของฮอนด้า บอกว่า เป้าหมายสำคัญอันดับแรกของบริษัทคือเทคโนโลยีรถไฟฟ้าและความปลอดภัยขั้นสูง ตลอดจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่ใหม่ๆ บริการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ และโซลูชันพลังงานใหม่
ปลายปีที่แล้ว ฮอนด้าตั้งแผนกพัฒนารถไฟฟ้า (EV) อันเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่วางไว้ก่อนหน้านี้ในการพัฒนารถไฮบริดใช้น้ำมันเบนซินที่ลดการปล่อยไอเสีย, รถปลั๊ก-อิน ไฮบริด, EV และรถพลังงานไฮโดรเจน (FCV) เพื่อให้ยานยนต์ทางเลือกใหม่เหล่านี้มีสัดส่วนเพิ่มจากเพียง 5% ในขณะนี้ เป็น 2 ใน 3 ของสายการผลิตทั้งหมด
นอกจากนั้น บริษัทยังทุ่มงบ R&D สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 6,840 ล้านดอลลาร์
แม้รถไฟฟ้าและรถอัตโนมัติของฮอนด้าอาจล้ำสมัยไม่เท่าค่ายรถใหญ่หลายแห่ง แต่บริษัทมีแผนเปิดตัวรถที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในจีนในปีหน้า ก่อนขยายไปเผยโฉมทั่วโลก
แผนการริเริ่มสำคัญอีกอย่างคือ การนำเสนออิสรภาพในการเดินทางและเพิ่มคุณค่าในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ซึ่งจะมุ่งเน้นที่การขับขี่อัตโนมัติผ่านการพัฒนาหุ่นยนต์และ AI โดยเมื่อต้นปี ฮอนด้าได้จัดแสดงหุ่นยนต์แห่งอนาคตและแนวคิด AI บางส่วนในรูปต้นแบบยานยนต์ไร้คนขับ “NeuV” ในงานคอนซูเมอร์ อิเล็กทรอนิกส์ โชว์ที่ลาสเวกัส
สำหรับในระยะสั้นนั้น ฮอนด้ามีแผนติดตั้งเทคโนโลยีสำหรับการตรวจจับเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถใหม่ทุกรุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นก่อนขยับขยายไปยังตลาดอื่นๆ
ฮาชิโกะให้รายละเอียดแผนการผลิตรถของบริษัทที่ครอบคลุมถึงฟังก์ชันการขับขี่กึ่งอัตโนมัติสำหรับการขับขี่บนทางหลวงภายในปี 2020 พร้อมกับคู่แข่งอื่นๆ โดยแผนการริเริ่มของฮอนด้ารวมถึงการใช้แผนที่และข้อมูลการจราจรที่มีความแม่นยำสูง อุปกรณ์โทรคมนาคม และกล้องและเรดาร์ในตัว รวมทั้งกล้องและเซ็นเซอร์ Lidar
ทั้งนี้ ฟังก์ชันของยานยนต์อัตโนมัติระดับ 3 ครอบคลุมการเปลี่ยนเลนโดยอิงกับสภาพการจราจร การออกจากถนนสายย่อยเข้าสู่ทางหลวงหรือมอเตอร์เวย์ และการบังคับรถในสภาพการจราจรติดขัด โดยที่คนขับต้องเตรียมพร้อมเข้าควบคุมรถภายในเวลาจำกัด
บริษัทพัฒนารถต้นแบบติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในฮอนด้า แอคคอร์ด และเลกาซี โดยประกอบด้วยกล้องหลัก 2 ตัว, กล้องตรวจสอบคนขับ, กล้องและเรดาร์เซ็นเซอร์ 10 ชุด และกล้องและเซ็นเซอร์ Lidar และเปิดให้นักข่าวทดลองขับที่ศูนย์ R&D ในโทชิกิเมื่อไม่นานมานี้
ล่าสุดฮอนด้ายังแถลงว่า จะเปิดตัวรถอัตโนมัติ “ระดับ 4” ในปี 2025
รถอัตโนมัติระดับ 4 หมายถึงรถที่ขับเคลื่อนเองได้ทั้งบนทางหลวงและถนนในเมืองในเกือบทุกสถานการณ์ โดยคนขับต้องอยู่ใกล้ส่วนควบคุม แต่ไม่จำเป็นต้องนั่งจ้องถนนในบางสถานการณ์ เช่น บนทางหลวง
ฮาชิโกะบอกว่า ฮอนด้าคาดว่า จะบรรลุเป้าหมายรถอัตโนมัติระดับ 4 ด้วยการพัฒนาระบบ AI ที่สามารถเลียนแบบคนขับ อ่านสภาพการจราจรโดยไม่จำเป็นต้องใช้แผนที่หรือระบบ GPS ที่แม่นยำ นอกจากนั้นยังต้องมีแบตเตอรี่สำหรับกล้องและเซ็นเซอร์เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
ด้วยเหตุนี้ ฮฮนด้าจึงตั้งแผนกพิเศษขึ้นมาศึกษาข้อมูลจากอุบัติเหตุและสถานการณ์ที่รถหลีกเลี่ยงการชนได้อย่างหวุดหวิด เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุถึง 90% โดยวิศวกรจำนวนมากในแผนกนี้เคยทำงานกับหุ่นยนต์อาซิโมมาก่อน
เป้าหมายยานยนต์ไร้คนขับของฮอนด้าดูเหมือนล้าหลังคู่แข่งหลายราย อาทิ บีเอ็มดับเบิลยูที่เพิ่งประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า จะเผยโฉมรถขับเคลื่อนอัตโนมัติในปี 2021 ปีเดียวกับที่ฟอร์ดจะเปิดตัวรถไร้คนขับสำหรับบริการรถร่วมโดยสาร (Ride-sharing) ส่วนนิสสัน มอเตอร์มีแผนทำคลอดรถไร้คนขับสำหรับวิ่งในเมืองในปี 2020
อย่างไรก็ตาม การเป็นที่หนึ่งอาจไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของฮอนด้า โดยฮาชิโกะแจงว่า บริษัทต้องการสร้างสังคมที่ผู้คนห่างไกลจากอุบัติเหตุ รวมทั้งสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้คนมีความสุขกับอิสรภาพในการเดินทาง และสร้างห้องโดยสารที่เพิ่มความรื่นรมย์ในการเดินทาง เพื่อบรรลุเป้าหมายในการเป็นผู้นำโลกในด้านเทคโนโลยีการขับขี่ปลอดคาร์บอนและปราศจากการชนภายใต้วิสัยทัศน์ 2030