ในขณะที่เมืองนอกทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ได้สัมผัส “ครูซ โฉมใหม่” แล้ว แต่สำหรับเมืองไทยโดย “เชฟโรเลต เซลส์” ยังเหนียวแน่นกับการขายรุ่น “ไมเนอร์เชนจ์” ที่เปิดตัวช่วงเดือนสิงหาคมปี2558 พร้อมสื่อสารการตลาดแบบเท่ๆว่า “อะเมซซิง นิว ครูซ” (จริงๆช่วงปี 2556 ก็เคยไมเนอร์เชนจ์มาแล้วครั้งหนึ่ง)
...ปกติการแข่งขันในตลาด ซี-เซกเมนต์บ้านเรา “ครูซ” ก็หืดจับเพราะมีคู่แข่งที่แข็งโป๊กอย่าง โตโยต้า อัลติส,ฮอนด้า ซีวิค,ฟอร์ด โฟกัส,นิสสัน ซิลฟี ขวางหน้าอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงหลังตลาดในกลุ่มนี้ยังถูกตีกินจากเอสยูวี/ครอสโอเวอร์ ขนาดเล็ก จึงเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก แต่เอาละครับเชฟโรเลตยังมองว่าครูซสามารถแข่งขันได้ ก็ลุยต่อกับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ส่วนโฉมโมเดลเชนจ์จะมาภายในปีนี้หรือไม่? ต้องรอลุ้นอีกที
ความน่าสนใจของ “อะเมซิง นิว ครูซ” (Model Year 2015) อยู่ที่การปรับรูปลักษณ์ภายนอก เด่นมากับไฟท้ายทรงคล้ายๆกับสปอร์ตคาร์ “คามาโร” พร้อมออปชันความบันเทิงรองรับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ขณะเดียวกันขุมพลังก็ยึดบล็อกเดียวคือ เบนซิน 1.8 ลิตร หรือเลิกผลิตรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และเบนซิน 1.6 ลิตร อย่างเป็นทางการ
โฉมใหม่ของครูซจริงๆเด่นที่โคมไฟด้านหลังครับ แต่ในภาพรวมของการปรับเปลี่ยนทำให้ดูคมคายมากขึ้น ไล่ตั้งแต่กระจังหน้าดูอัลพอร์ทชุดใหม่ รับกับไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวัน (เดย์ไทม์รันนิ่งไลท์) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วลายใหม่
ภายในห้องโดยสารในยุคแรกๆของการเปิดตัว (ปี 2553)ต้องบอกว่าสวยที่สุดในคลาส แต่ในปัจจุบันหลายค่ายเปิดตัวตามมาที่หลังก็ทันสมัยออกแนวหรูหรา ในส่วนของครูซชัดเจนมากับ สีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาลแดง ทั้งเบาะนั่ง แผงแดชบอร์ด พร้อมการติดตั้งหน้าจอทัชสกรีนสีขนาด 7 นิ้วรองรับระบบอินโฟเทนเมนท์ เชฟโรเลต มายลิงค์ พร้อมเทคโนโลยีแอพพลิเคชั่นในตัว เพิ่มประสิทธิภาพการสั่งงานด้วยเสียง และการเชื่อมต่อระบบเสียงผ่านบลูทูธ
ความเงียบภายในห้องโดยสารถือเป็นจุดเด่นของ ครูซ ครับ บวกกับความนิ่งในการขับขี่ ผ่านการควบคุมพวงมาลัย(ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) ช่วงล่างหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นคานทอร์ชันบีม คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ประกบล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ยาง 215/50 R17
โดยการเป็นผู้ขับจะรู้สึกดีกว่าการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังแน่ๆ ระบบกันสะเทือนออกแนวสปอร์ตมากกว่าความนุ่มย้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง ครูซยังชัดเจนเรื่องความหนึบแน่นเมื่อขับความเร็วสูง และเก็บอาการในโค้งได้ดี ซึ่งจะว่าไปการออกแบบเบาะนั่งให้รับกับสรีระและแข็งนิดๆสอดคล้องกันดีบุคลิกของรถ
พวงมาลัยแรคแอนพิเนียนผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ไม่เบาหวิว เรียกว่าน้ำหนักกำลังเหมาะมือ สามารถปรับตัวเข้ากับการควบคุมรถได้เร็ว
ขณะที่อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ไม่ถึงกับจัดจ้านมาก โดยขุมพลังอีโคเทค 4 สูบ 1.8 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ระบบวาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง Double CVC (Double Continuous Variable Cam Phasing) ทำงานร่วมกับท่อร่วมไอดีแปรผัน (Variable Intake Manifold) ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งเกียร์ลูกนี้เชฟโรเลตปรับปรุงมาตั้งแต่การไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกปี 2556 แล้วละครับ
ดังนั้น พอเป็นตัวโมเดลเยียร์ 2015 ก็ยังส่งกำลังได้นุ่มนวล การเปลี่ยนเกียร์สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ ดูเป็นธรรมชาติของเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ทั่วไป แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับส่งเสริมให้สมรรถนะโดยรวมของระบบขับเคลื่อน โดดเด่นกว่า 2 คู่แข่งอย่าง ฮอนด้า ซีวิค และโตโยต้า อัลติส(ในพิกัด 1.8 ลิตร)
อย่างไรก็ตาม ครูซ ยังโดดเด่นที่ สามารถรองรับแก็สโซฮอล์ E85 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกความประหยัดที่หลายคนชอบในยุคน้ำมันแพง(แต่ตอนนี้อาจจะคำนึงถึง E85 กันน้อยลง
เหนืออื่นใด ผู้เขียนชอบระบบความปลอดภัยของ เชฟโรเลต ครูซ เรียกว่าให้มาแบบคุ้มค่ากับราคาขาย ทั้งดิสก์เบรก 4 ล้อ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกอิเลกทรอนิก EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันการลื่นไถล TCS พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง
โดยเชฟโรเลต ครูซ รุ่น LT ราคา 9.46 แสนบาท และรุ่น LTZ ราคา 9.98 แสนบาท
รวบรัดตัดความ...หลายคนตกหลุมรักครูซเพราะรูปลักษณ์ครับ ทั้งภายนอก ภายใน ที่อารมณ์ต่างจากรถญี่ปุ่น พร้อมการควบคุมเนียนแน่น ช่วงล่างการทรงตัวที่หนึบนิ่ง เพียบด้วยระบบความปลอดภัยที่จำเป็นต้องมี แต่ในยุคที่ราคารถเกือบ 1 ล้านบาท ตอนนี้มีทางเลือกเพียบ ซึ่งครูซอาจจะไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของหลายๆคน แต่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับผู้ที่ชอบความต่างอย่างมีสไตล์
...ปกติการแข่งขันในตลาด ซี-เซกเมนต์บ้านเรา “ครูซ” ก็หืดจับเพราะมีคู่แข่งที่แข็งโป๊กอย่าง โตโยต้า อัลติส,ฮอนด้า ซีวิค,ฟอร์ด โฟกัส,นิสสัน ซิลฟี ขวางหน้าอยู่แล้ว ยิ่งในช่วงหลังตลาดในกลุ่มนี้ยังถูกตีกินจากเอสยูวี/ครอสโอเวอร์ ขนาดเล็ก จึงเพิ่มความลำบากเข้าไปอีก แต่เอาละครับเชฟโรเลตยังมองว่าครูซสามารถแข่งขันได้ ก็ลุยต่อกับรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ส่วนโฉมโมเดลเชนจ์จะมาภายในปีนี้หรือไม่? ต้องรอลุ้นอีกที
ความน่าสนใจของ “อะเมซิง นิว ครูซ” (Model Year 2015) อยู่ที่การปรับรูปลักษณ์ภายนอก เด่นมากับไฟท้ายทรงคล้ายๆกับสปอร์ตคาร์ “คามาโร” พร้อมออปชันความบันเทิงรองรับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ขณะเดียวกันขุมพลังก็ยึดบล็อกเดียวคือ เบนซิน 1.8 ลิตร หรือเลิกผลิตรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร และเบนซิน 1.6 ลิตร อย่างเป็นทางการ
โฉมใหม่ของครูซจริงๆเด่นที่โคมไฟด้านหลังครับ แต่ในภาพรวมของการปรับเปลี่ยนทำให้ดูคมคายมากขึ้น ไล่ตั้งแต่กระจังหน้าดูอัลพอร์ทชุดใหม่ รับกับไฟส่องสว่างขณะขับขี่กลางวัน (เดย์ไทม์รันนิ่งไลท์) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วลายใหม่
ภายในห้องโดยสารในยุคแรกๆของการเปิดตัว (ปี 2553)ต้องบอกว่าสวยที่สุดในคลาส แต่ในปัจจุบันหลายค่ายเปิดตัวตามมาที่หลังก็ทันสมัยออกแนวหรูหรา ในส่วนของครูซชัดเจนมากับ สีแบบทูโทน ดำ-น้ำตาลแดง ทั้งเบาะนั่ง แผงแดชบอร์ด พร้อมการติดตั้งหน้าจอทัชสกรีนสีขนาด 7 นิ้วรองรับระบบอินโฟเทนเมนท์ เชฟโรเลต มายลิงค์ พร้อมเทคโนโลยีแอพพลิเคชั่นในตัว เพิ่มประสิทธิภาพการสั่งงานด้วยเสียง และการเชื่อมต่อระบบเสียงผ่านบลูทูธ
ความเงียบภายในห้องโดยสารถือเป็นจุดเด่นของ ครูซ ครับ บวกกับความนิ่งในการขับขี่ ผ่านการควบคุมพวงมาลัย(ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า) ช่วงล่างหน้าแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง โช้คอัพแก๊ส และเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นคานทอร์ชันบีม คอยล์สปริง และโช้คอัพแก๊ส ประกบล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ยาง 215/50 R17
โดยการเป็นผู้ขับจะรู้สึกดีกว่าการนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังแน่ๆ ระบบกันสะเทือนออกแนวสปอร์ตมากกว่าความนุ่มย้อย แต่ก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้าง ครูซยังชัดเจนเรื่องความหนึบแน่นเมื่อขับความเร็วสูง และเก็บอาการในโค้งได้ดี ซึ่งจะว่าไปการออกแบบเบาะนั่งให้รับกับสรีระและแข็งนิดๆสอดคล้องกันดีบุคลิกของรถ
พวงมาลัยแรคแอนพิเนียนผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า ไม่เบาหวิว เรียกว่าน้ำหนักกำลังเหมาะมือ สามารถปรับตัวเข้ากับการควบคุมรถได้เร็ว
ขณะที่อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ไม่ถึงกับจัดจ้านมาก โดยขุมพลังอีโคเทค 4 สูบ 1.8 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ระบบวาล์วแปรผันคู่ต่อเนื่อง Double CVC (Double Continuous Variable Cam Phasing) ทำงานร่วมกับท่อร่วมไอดีแปรผัน (Variable Intake Manifold) ให้กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตันเมตรที่ 3,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งเกียร์ลูกนี้เชฟโรเลตปรับปรุงมาตั้งแต่การไมเนอร์เชนจ์ครั้งแรกปี 2556 แล้วละครับ
ดังนั้น พอเป็นตัวโมเดลเยียร์ 2015 ก็ยังส่งกำลังได้นุ่มนวล การเปลี่ยนเกียร์สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ ดูเป็นธรรมชาติของเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ทั่วไป แต่กระนั้นก็ไม่ถึงกับส่งเสริมให้สมรรถนะโดยรวมของระบบขับเคลื่อน โดดเด่นกว่า 2 คู่แข่งอย่าง ฮอนด้า ซีวิค และโตโยต้า อัลติส(ในพิกัด 1.8 ลิตร)
อย่างไรก็ตาม ครูซ ยังโดดเด่นที่ สามารถรองรับแก็สโซฮอล์ E85 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกความประหยัดที่หลายคนชอบในยุคน้ำมันแพง(แต่ตอนนี้อาจจะคำนึงถึง E85 กันน้อยลง
เหนืออื่นใด ผู้เขียนชอบระบบความปลอดภัยของ เชฟโรเลต ครูซ เรียกว่าให้มาแบบคุ้มค่ากับราคาขาย ทั้งดิสก์เบรก 4 ล้อ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกอิเลกทรอนิก EBD ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP และระบบป้องกันการลื่นไถล TCS พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้าง
โดยเชฟโรเลต ครูซ รุ่น LT ราคา 9.46 แสนบาท และรุ่น LTZ ราคา 9.98 แสนบาท
รวบรัดตัดความ...หลายคนตกหลุมรักครูซเพราะรูปลักษณ์ครับ ทั้งภายนอก ภายใน ที่อารมณ์ต่างจากรถญี่ปุ่น พร้อมการควบคุมเนียนแน่น ช่วงล่างการทรงตัวที่หนึบนิ่ง เพียบด้วยระบบความปลอดภัยที่จำเป็นต้องมี แต่ในยุคที่ราคารถเกือบ 1 ล้านบาท ตอนนี้มีทางเลือกเพียบ ซึ่งครูซอาจจะไม่ได้เป็นทางเลือกแรกของหลายๆคน แต่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับผู้ที่ชอบความต่างอย่างมีสไตล์