xs
xsm
sm
md
lg

ฟอร์ด ส่ง เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ บุกตลาดรถกระบะใช้งาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฟอร์ด ประเทศไทย ส่ง ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ บุกเซกเม้นต์ตลาดรถกระบะใช้งาน สำหรับกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม ชูความแข็งแกร่ง ผสานกับเทคโนโลยีทันสมัย พร้อมความปลอดภัยครบครัน โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดุดัน มอบสมรรถนะที่ทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพ เปิดจำหน่ายแล้วที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ

ยุคนธร วิเศษโกสิน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า “ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม โดดเด่นทั้งด้านความแข็งแกร่ง ความสมบุกสมบัน ที่มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพ ล้ำหน้าเหนือใครด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เรามีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ จะมอบความคุ้มค่าเหนือกว่ารถอื่นๆ ในเซ็กเม้นต์เดียวกัน และ สามารถเป็นผู้ช่วยให้ทุกงานหนักประสบความสำเร็จอย่างเต็มภาคภูมิ ”

รถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลทรงพลัง ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ เทอร์โบ ขนาด 2.2 ลิตร แบบ 4 สูบ มอบพละกำลัง 125 แรงม้า และแรงบิด 320 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด เพื่อการบรรทุกและลากจูงอย่างเต็มสมรรถนะ โดยฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ รุ่น โอเพ่นแค๊บ ไฮไรเดอร์ เอ็กซ์แอลเอส สามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุดถึง 1.5 ตัน และรับน้ำหนักบรรทุกสูงถึง 1.3 ตัน

รูปลักษณ์ภายนอกของ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ ได้รับการออกแบบให้โดดเด่นและแสดงถึงสมรรถนะอันทรงพลังของรถ จากกระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูและแนวเส้นบนกระโปรงหน้ารถที่ดูบึกบึน ขณะที่ห้องโดยสารภายในใช้วัสดุทนทาน ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นแบบรถยนต์นั่ง โดยเน้นให้ห้องโดยสารดูกว้างขวางยิ่งขึ้น และยังให้ความรู้สึกทันสมัย ส่วนช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ นี้ ได้รับการปรับแต่ง เพื่อเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะในการบรรทุกและลากจูงสำหรับการใช้งานหนัก

ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ พร้อมพาผู้ขับขี่ลุยไปในทุกเส้นทาง โดยในรุ่นไฮไรเดอร์ หรือรุ่นยกสูง สามารถขับขี่ลุยน้ำได้ที่ความลึกถึง 800 มิลลิเมตร และส่วนพื้นรถที่สูงถึง 230 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อรับมือกับการขับขี่เส้นทางวิบากได้อย่างคล่องตัว ด้วยมุมตัดที่ 28 องศา และมุมจากที่ 25 องศา ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับขึ้นลงทางลาดชันได้อย่างมั่นใจ

นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และเอ็กซ์แอลเอส ใหม่ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัย ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ และยังสามารถควบคุมการขับรถได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพ

•ระบบเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธ พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออุปกรณ์เพื่อความบันเทิงแบบดิจิทัลผ่านการเชื่อมต่อสัญญาณบลูทูธและช่องเชื่อมต่อยูเอสบี เพื่อรับฟังเพลงและคุยโทรศัพท์โดยไม่ต้องละมือออกจากพวงมาลัย

•ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control) ช่วยประหยัดน้ำมันและมอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้นให้แก่ผู้ขับขี่ เมื่อต้องเดินทางไกลหรือต้องขับรถเป็นเวลานาน

•มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัย อีกมากมาย อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ระบบกุญแจนิรภัย (Immobilizer) และในรุ่นดับเบิ้ลแค็บมีจุดยึดสำหรับเบาะนั่งเด็ก (ISOFIX)

ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ มีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน ออโรร่า บลู (Aurora Blue) สีแดง ทรู เรด (True Red) สีขาว คูล ไวต์ (Cool White) สีดำ แบล็ก ไมก้า (Black Mica) และสีเงินอลูมิเนียม เมทัลลิก (Aluminum Metallic)

รายละเอียดราคารถกระบะฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ :

รุ่นสแตนดาร์ดแค็บ จำนวน 3 รุ่น

Standard Cab 2.2L XL 4x2 Low-Rider ราคา 549,000
Standard Cab 2.2L SWB HP 4x2 HR 6MT ราคา 575,000
Standard Cab 3.2L SWB 4x4 w/TMS 6AT ราคา 749,000

รุ่นโอเพ่นแค็บ จำนวน 3 รุ่น

Open Cab 2.2L XL 4x2 Low-Rider ราคา 599,000
Open Cab 2.2L XLS 4x2 Low-Rider ราคา 659,000
Open Cab 2.2L XLS 4x2 Hi-Rider ราคา 699,000

รุ่นดับเบิ้ลแค็บ จำนวน 1 รุ่น
Double Cab 2.2L XLS 4x2 Hi-Rider ราคา 789,000

นอกจากนี้ ฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่น เอ็กซ์แอล และ เอ็กซ์แอลเอส ใหม่ ยังมาพร้อมบริการหลังการขายต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการเป็นเจ้าของให้กับลูกค้าฟอร์ด อาทิ

•บริการฟรีค่าแรงสำหรับการเข้ารับบริการบำรุงรักษารถตามระยะทางถึง 5 ครั้ง (45 เดือน หรือ 75,000 กิโลเมตรแรก แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)

•การรับประกันคุณภาพรถนาน 3 ปี / 100,000 กิโลเมตร

•ระยะการเข้ารับบริการทุกๆ 15,000 กิโลเมตร / 9 เดือน ช่วยประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาให้ต่ำลง

•โปรแกรมช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง


กำลังโหลดความคิดเห็น