จัดหนักอัดเต็มทุกครั้งละครับ สำหรับโฉมใหม่ของ“เอส-คลาส” รถยนต์รุ่นธง (Flagship Model) ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ คือเป็นรถที่หวังยอดขายพร้อมสร้างภาพลักษณ์ด้วยการใส่เทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ ทันสมัย เรียกว่าจะดูออปชันอะไรเจ๋งๆที่ค่ายรถยนต์เริ่มเอามาใช้ได้จริง (ขายในเชิงพาณิชย์) ต้องรอดูจากรถหรูรุ่นนี้ ที่สำคัญยังเป็นการโชว์ศักยภาพเพื่อเกทับบลัฟแหลกกับคู่แข่งอย่าง “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์7” ว่าใครจะมีอะไรใหม่ก่อนกัน หรือใครจะกล้าใส่ออปชันระดับ World First มาให้แค่ไหนอย่างไร
สำหรับ “เอส-คลาส” ที่ทำตลาดในปัจจุบันเป็นเจเนอเรชันที่ 6 รหัสตัวถัง W222 ในเมืองไทยเริ่มเปิดตัวทำตลาดตั้งแต่ปี 2013 และถัดมาอีกหนึ่งปีถึงจะเริ่มขึ้นไลน์รุ่นประกอบในประเทศที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดแบบเครื่องยนต์ดีเซลผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า(ชุดเดียวกับ อี-คลาส ไฮบริด) โดยแบ่งขายเป็นสองรุ่นย่อย คือ S 300 BlueTEC Hybrid Exclusive ราคา 5.99 ล้านบาท และตัวที่ได้ลองขับ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ราคา 6.79 ล้านบาท
อย่างที่ทราบกันครับว่า ส่วนมากคนจ่ายเงินซื้อ “เอส-คลาส” (ซาลูน) กับคนขับจริงมักไม่ใช่คนเดียวกัน เช่นเดียวกับความนิยมที่จะใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง การซื้อฟลีต(ล็อตใหญ่) ไว้ใช้รับรองลูกค้าบริษัท รวมถึงธุรกิจโรงแรม 5 - 6 ดาว ซึ่งภาพลักษณ์ตรงนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชัดเจนกว่าบีเอ็มดับเบิลยูอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์7” โฉมใหม่ (G11) ก็จ่อคิวทำตลาดเร็วๆนี้ น่าสนใจว่าจะเข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ครองอย่างช่ำชองไว้ได้ขนาดไหน (ถือเป็นสมรภูมิย่อยๆ ที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน)
ส่วนการลองขับสัมผัสนั่ง S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ต้องบอกว่าประทับใจครับ ซึ่งแบ่งเป็นมิติของผู้ขับและผู้โดยสารด้านหลัง
ในส่วนของผู้ขับนั้น รับรู้ถึงการทำงานสอดประสานของขุมพลังไฮบริดที่นุ่มนวล ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 - 1,800 รอบต่อนาที พร้อมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 27 แรงม้า แรงบิดระดับ 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
หลักการทำงานก็คุ้นเคยกันดี เริ่มจากออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขับไปจนถึงความเร็ว 20-30 กม./ชม. กำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลก็จะเข้ามา หรือกรณีวิ่งความเร็วสูงๆเกิน 100 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักแต่ก็จะถูกแบ่งเบาภาระด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า(เข้ามาทำหน้าที่เสริมในหลายๆจังหวะรวมถึงการเร่งความเร็วกะทันหัน) ซึ่งขมีขมันทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ ปลดปล่อยเรี่ยวแรงออกมาได้ทันใจและต่อเนื่องทุกย่านความเร็ว (เหมือนการทำงานของระบบไฮบริดจะสมูทกว่าของซี-คลาส C 300 BlueTEC Hybrid AMG Dynamic ตัวถังเอสเตท)
ขณะเดียวกันในช่วงที่แตะเบรกหรือการชะลอหยุด มอเตอร์ไฟฟ้า ก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์นำพลังงานจลน์ที่เสียไป จากเพลาที่หมุนไปเปล่าๆ แปลงกับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ที่วางอยู่ด้านหลังของเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง
ทว่าการสัมผัสอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที และการเคลมความเร็วสูงสุดไว้ 240 กม./ชม. ไม่ถึงกับเป็นความประทับใจที่สุดของผู้เขียน เมื่อเทียบกับการตอบสนองของพวงมาลัยและช่วงล่างที่นวลเนียน พร้อมความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้แน่นกระชับตามสภาพการขับขี่
โดยระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่พัฒนาไปอีกขั้น หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์เรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบกันสะเทือนแบบอากาศพร้อมระบบควบคุมระดับ (AIRMATIC)
กล่าวคือการเข้า-ออกโค้งและการเบรก ช่วงล่างหรือโช้กอัพทั้งสี่ตัวจะทำงานเป็นอิสระต่อกันเพื่อรักษาความสมดุลของตัวถัง และหวังประสิทธิภาพสูงสุดของการเกาะถนน พร้อมลดอาการหน้าทิ่มหัวจิก ขณะที่สปริงถุงลมยังสามารถปรับความสูง-ต่ำของรถได้ตามสภาพการขับขี่ และการเลือกโหมด Normal Sport Comfort
ทั้งนี้การขับขี่อยู่ในโหมดปกติ แล้วใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ความสูงของรถจะลดลงมาให้ 10 มิลลิเมตร เพื่อความมั่นคงในการแหวกอากาศ แล้วถ้าขับเกิน 160 กม./ชม. ก็จะเตี้ยลงอีก 10 มิลลิเมตร จากนั้นถ้าความเร็วกลับมาต่ำกว่า 70 กม./ชม.เมื่อไหร่ ช่วงล่างก็จะปรับความสูงให้กลับมาอยู่ในโหมดปกติ
เหนืออื่นใดถ้าเจอทางแย่ๆ ถนนเป็นหลุมบ่อ แล้วอยากได้กราวด์เคลียร์แลนซ์สูงขึ้นก็ทำได้เช่นกัน โดยคนขับก็สามารถเลือกปรับระดับให้ตัวรถสูงขึ้นได้ด้วยปุ่มควบคุมที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งรถจะสูงขึ้นได้สูงสุด 30 มิลลิเมตรเลยทีเดียว แต่กระนั้นถ้าขับความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ระบบก็จะสั่งงานให้ความสูงของรถกลับมาอยู่ในระดับปกติ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถเอาไว้(ดีกว่า)
โดยช่วงล่างแบบถุงลมที่เลื่องชื่อของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังเป็นจุดขายที่ช่วยให้การขับขี่มั่นใจ และรองรับการนั่งเป็นเจ้านายด้านหลังได้อย่างนุ่มนวล เมื่อบวกกับเบาะหนานุ่ม ปรับระดับได้หลากหลาย(เลื่อนหน้า ถอยหลัง ปรับเอนพนักพิง) พร้อมระบบนวด ความบันเทิงรอบคัน รวมถึงระบบเครื่องเสียงระดับหูเทพ Burmester (มีลำโพง 11 ตัว และลำโพง Frontbass 2 ตัว) ก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สบายตัวอย่างยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม จากการเพิ่มพื้นที่ให้ผู้โดยสารด้านหลังขยับขายได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงขา (leg room) พร้อมวางโครงสร้างต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ตรงนี้มีผลกระทบต่อผู้ขับเล็กน้อยครับ เพราะเสาบี (B-Pillar) จะถูกดันมาด้านหน้ามากขึ้น(ขยับมาทางเสาเอ) ทำให้มุมมองด้านข้างของคนขับแคบลง กรณีนี้จะรู้สึกได้ตอนขับออกจากซอยแล้วต้องดูรถทางซ้ายมือ ที่เหมือนจะเหลือช่องว่างการมองที่บีบแคบลง
…น่าจะเป็นจุดเดียวละครับที่ผู้เขียนรู้สึกติดใจ เพราะในภาพรวมของรถที่ยาวระดับ 5.2 เมตร น้ำหนักตัวเกินสองตันครึ่ง ก็ไม่ได้อุ้ยอ้ายเทอะทะอะไร ด้วยการเสริมเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ คอยแสดงผลพร้อมช่วยเหลืออย่างรวดเร็วก่อนที่เราจะตัดสินใจเองเสียอีก
ในส่วนของออปชันอื่นๆที่ดูแล้ว ช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นก็มีทั้ง ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบไฟสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ ตลอดจนฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อม Active Perfuming System ปล่อยกลิ่นน้ำหอมจางๆสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่เลือกได้ 4 กลิ่นตามอารมณ์
ทั้งนี้ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ยังมาพร้อมความโดดเด่นสไตล์ AMG ด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์เบรก ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้ว และท่อไอเสีย แบบซ่อนปลาย พร้อมคิ้วโครเมียมตกแต่งตรงชายกันชนด้านล่าง
ภายในมากับพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ ตัวพรมปูพื้นมีสัญลักษณ์ AMG ขณะที่แป้นเบรก แป้นคันเร่งเป็นสเตนเลส นี่ยังไม่รวมการหันมาใช้หลอดไฟแบบ LED อีกราว 300 ดวง ที่ใช้เป็นไฟเรืองแสง Ambient Lighting ภายในห้องโดยสาร สามารถเลือกถึง 7 สี และ 5 ระดับ
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน หากพูดถึงเอส-คลาส ยุคก่อนๆ ยิ่งเป็นระดับ S 500 ก็ซดน้ำมันกระจาย แต่ยุคใหม่พ.ศ.นี้ กับรุ่น “ไฮบริด” เครื่องยนต์ดีเซลที่โดยธรรมชาติก็ประหยัดน้ำมันอยู่แล้ว แถมได้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยก็ยิ่งเบาใจได้ โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมตัวเลขการกินน้ำมันเฉลี่ยของ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium เอาไว้สวยๆที่ 21-22 กม./ลิตร
ส่วนการทดสอบของผู้เขียนที่วัดระหว่างการวิ่งในเมือง และใช้วิ่งทางไกลออกต่างจังหวัดบนความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. (มี บางช่วงเร่งความเร็วสูงขึ้นไปกว่านี้) สุดท้ายได้ตัวเลขแถวๆ 16 กม./ลิตร (หน้าจอแสดงผล 6.2 ลิตรต่อ 100 กม.) ถือว่าไม่ขี้เหร่ครับ
รวบรัดตัดความ...การลองขับสัมผัสนั่ง “เอส-คลาส” ในทุกๆครั้งของผู้เขียน ตั้งแต่โฉมเก่า W221 จนมาถึง W222 มักจะมีความคิดท้าทายอยู่เสมอว่า การที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำรถออกมาได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้แล้วจะเขียนอย่างไรให้ต่างไปจากโบรชัวร์ หรือภาพ/ข่าวโฆษณา? สรุปแบบนี้แล้วกันว่า “เอส-คลาส” ยังคงเป็นรถยนต์ที่อุดมไปด้วยเทคโนโลยียานยนต์ชั้นสูง เพื่อสมรรถนะการขับขี่ การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยขั้นสุด กับชีวิตหรูหราวิไล ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูดี มีฐานะ แบบ“ฉลาดเลือก”
สำหรับ “เอส-คลาส” ที่ทำตลาดในปัจจุบันเป็นเจเนอเรชันที่ 6 รหัสตัวถัง W222 ในเมืองไทยเริ่มเปิดตัวทำตลาดตั้งแต่ปี 2013 และถัดมาอีกหนึ่งปีถึงจะเริ่มขึ้นไลน์รุ่นประกอบในประเทศที่มาพร้อมเทคโนโลยีไฮบริดแบบเครื่องยนต์ดีเซลผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า(ชุดเดียวกับ อี-คลาส ไฮบริด) โดยแบ่งขายเป็นสองรุ่นย่อย คือ S 300 BlueTEC Hybrid Exclusive ราคา 5.99 ล้านบาท และตัวที่ได้ลองขับ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ราคา 6.79 ล้านบาท
อย่างที่ทราบกันครับว่า ส่วนมากคนจ่ายเงินซื้อ “เอส-คลาส” (ซาลูน) กับคนขับจริงมักไม่ใช่คนเดียวกัน เช่นเดียวกับความนิยมที่จะใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง การซื้อฟลีต(ล็อตใหญ่) ไว้ใช้รับรองลูกค้าบริษัท รวมถึงธุรกิจโรงแรม 5 - 6 ดาว ซึ่งภาพลักษณ์ตรงนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ชัดเจนกว่าบีเอ็มดับเบิลยูอยู่พอสมควร
อย่างไรก็ตาม “บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีย์7” โฉมใหม่ (G11) ก็จ่อคิวทำตลาดเร็วๆนี้ น่าสนใจว่าจะเข้ามาเจาะกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ครองอย่างช่ำชองไว้ได้ขนาดไหน (ถือเป็นสมรภูมิย่อยๆ ที่มีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน)
ส่วนการลองขับสัมผัสนั่ง S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ต้องบอกว่าประทับใจครับ ซึ่งแบ่งเป็นมิติของผู้ขับและผู้โดยสารด้านหลัง
ในส่วนของผู้ขับนั้น รับรู้ถึงการทำงานสอดประสานของขุมพลังไฮบริดที่นุ่มนวล ด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 - 1,800 รอบต่อนาที พร้อมกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 27 แรงม้า แรงบิดระดับ 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด
หลักการทำงานก็คุ้นเคยกันดี เริ่มจากออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขับไปจนถึงความเร็ว 20-30 กม./ชม. กำลังจากเครื่องยนต์ดีเซลก็จะเข้ามา หรือกรณีวิ่งความเร็วสูงๆเกิน 100 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลักแต่ก็จะถูกแบ่งเบาภาระด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า(เข้ามาทำหน้าที่เสริมในหลายๆจังหวะรวมถึงการเร่งความเร็วกะทันหัน) ซึ่งขมีขมันทำงานได้อย่างไร้รอยต่อ ปลดปล่อยเรี่ยวแรงออกมาได้ทันใจและต่อเนื่องทุกย่านความเร็ว (เหมือนการทำงานของระบบไฮบริดจะสมูทกว่าของซี-คลาส C 300 BlueTEC Hybrid AMG Dynamic ตัวถังเอสเตท)
ขณะเดียวกันในช่วงที่แตะเบรกหรือการชะลอหยุด มอเตอร์ไฟฟ้า ก็จะเปลี่ยนหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์นำพลังงานจลน์ที่เสียไป จากเพลาที่หมุนไปเปล่าๆ แปลงกับมาเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ที่วางอยู่ด้านหลังของเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลัง
ทว่าการสัมผัสอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที และการเคลมความเร็วสูงสุดไว้ 240 กม./ชม. ไม่ถึงกับเป็นความประทับใจที่สุดของผู้เขียน เมื่อเทียบกับการตอบสนองของพวงมาลัยและช่วงล่างที่นวลเนียน พร้อมความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้แน่นกระชับตามสภาพการขับขี่
โดยระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่พัฒนาไปอีกขั้น หรือเมอร์เซเดส-เบนซ์เรียกอย่างเป็นทางการว่า ระบบกันสะเทือนแบบอากาศพร้อมระบบควบคุมระดับ (AIRMATIC)
กล่าวคือการเข้า-ออกโค้งและการเบรก ช่วงล่างหรือโช้กอัพทั้งสี่ตัวจะทำงานเป็นอิสระต่อกันเพื่อรักษาความสมดุลของตัวถัง และหวังประสิทธิภาพสูงสุดของการเกาะถนน พร้อมลดอาการหน้าทิ่มหัวจิก ขณะที่สปริงถุงลมยังสามารถปรับความสูง-ต่ำของรถได้ตามสภาพการขับขี่ และการเลือกโหมด Normal Sport Comfort
ทั้งนี้การขับขี่อยู่ในโหมดปกติ แล้วใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ความสูงของรถจะลดลงมาให้ 10 มิลลิเมตร เพื่อความมั่นคงในการแหวกอากาศ แล้วถ้าขับเกิน 160 กม./ชม. ก็จะเตี้ยลงอีก 10 มิลลิเมตร จากนั้นถ้าความเร็วกลับมาต่ำกว่า 70 กม./ชม.เมื่อไหร่ ช่วงล่างก็จะปรับความสูงให้กลับมาอยู่ในโหมดปกติ
เหนืออื่นใดถ้าเจอทางแย่ๆ ถนนเป็นหลุมบ่อ แล้วอยากได้กราวด์เคลียร์แลนซ์สูงขึ้นก็ทำได้เช่นกัน โดยคนขับก็สามารถเลือกปรับระดับให้ตัวรถสูงขึ้นได้ด้วยปุ่มควบคุมที่ติดตั้งอยู่บริเวณคอนโซลกลาง ซึ่งรถจะสูงขึ้นได้สูงสุด 30 มิลลิเมตรเลยทีเดียว แต่กระนั้นถ้าขับความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ระบบก็จะสั่งงานให้ความสูงของรถกลับมาอยู่ในระดับปกติ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถเอาไว้(ดีกว่า)
โดยช่วงล่างแบบถุงลมที่เลื่องชื่อของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังเป็นจุดขายที่ช่วยให้การขับขี่มั่นใจ และรองรับการนั่งเป็นเจ้านายด้านหลังได้อย่างนุ่มนวล เมื่อบวกกับเบาะหนานุ่ม ปรับระดับได้หลากหลาย(เลื่อนหน้า ถอยหลัง ปรับเอนพนักพิง) พร้อมระบบนวด ความบันเทิงรอบคัน รวมถึงระบบเครื่องเสียงระดับหูเทพ Burmester (มีลำโพง 11 ตัว และลำโพง Frontbass 2 ตัว) ก็ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สบายตัวอย่างยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม จากการเพิ่มพื้นที่ให้ผู้โดยสารด้านหลังขยับขายได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่วงขา (leg room) พร้อมวางโครงสร้างต่างๆเพื่ออำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ตรงนี้มีผลกระทบต่อผู้ขับเล็กน้อยครับ เพราะเสาบี (B-Pillar) จะถูกดันมาด้านหน้ามากขึ้น(ขยับมาทางเสาเอ) ทำให้มุมมองด้านข้างของคนขับแคบลง กรณีนี้จะรู้สึกได้ตอนขับออกจากซอยแล้วต้องดูรถทางซ้ายมือ ที่เหมือนจะเหลือช่องว่างการมองที่บีบแคบลง
…น่าจะเป็นจุดเดียวละครับที่ผู้เขียนรู้สึกติดใจ เพราะในภาพรวมของรถที่ยาวระดับ 5.2 เมตร น้ำหนักตัวเกินสองตันครึ่ง ก็ไม่ได้อุ้ยอ้ายเทอะทะอะไร ด้วยการเสริมเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ คอยแสดงผลพร้อมช่วยเหลืออย่างรวดเร็วก่อนที่เราจะตัดสินใจเองเสียอีก
ในส่วนของออปชันอื่นๆที่ดูแล้ว ช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้นก็มีทั้ง ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง ระบบไฟสูงอัตโนมัติ ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับรถ ตลอดจนฟังก์ชันปรับสมดุลอากาศภายในห้องโดยสาร พร้อม Active Perfuming System ปล่อยกลิ่นน้ำหอมจางๆสร้างบรรยากาศในห้องโดยสาร ที่เลือกได้ 4 กลิ่นตามอารมณ์
ทั้งนี้ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium ยังมาพร้อมความโดดเด่นสไตล์ AMG ด้วยชุดสเกิร์ตรอบคัน สัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิเปอร์เบรก ล้ออัลลอยลาย 5 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้ว และท่อไอเสีย แบบซ่อนปลาย พร้อมคิ้วโครเมียมตกแต่งตรงชายกันชนด้านล่าง
ภายในมากับพวงมาลัยหุ้มหนังสลับลายไม้ ตัวพรมปูพื้นมีสัญลักษณ์ AMG ขณะที่แป้นเบรก แป้นคันเร่งเป็นสเตนเลส นี่ยังไม่รวมการหันมาใช้หลอดไฟแบบ LED อีกราว 300 ดวง ที่ใช้เป็นไฟเรืองแสง Ambient Lighting ภายในห้องโดยสาร สามารถเลือกถึง 7 สี และ 5 ระดับ
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน หากพูดถึงเอส-คลาส ยุคก่อนๆ ยิ่งเป็นระดับ S 500 ก็ซดน้ำมันกระจาย แต่ยุคใหม่พ.ศ.นี้ กับรุ่น “ไฮบริด” เครื่องยนต์ดีเซลที่โดยธรรมชาติก็ประหยัดน้ำมันอยู่แล้ว แถมได้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยก็ยิ่งเบาใจได้ โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ เคลมตัวเลขการกินน้ำมันเฉลี่ยของ S 300 BlueTEC Hybrid AMG Premium เอาไว้สวยๆที่ 21-22 กม./ลิตร
ส่วนการทดสอบของผู้เขียนที่วัดระหว่างการวิ่งในเมือง และใช้วิ่งทางไกลออกต่างจังหวัดบนความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. (มี บางช่วงเร่งความเร็วสูงขึ้นไปกว่านี้) สุดท้ายได้ตัวเลขแถวๆ 16 กม./ลิตร (หน้าจอแสดงผล 6.2 ลิตรต่อ 100 กม.) ถือว่าไม่ขี้เหร่ครับ
รวบรัดตัดความ...การลองขับสัมผัสนั่ง “เอส-คลาส” ในทุกๆครั้งของผู้เขียน ตั้งแต่โฉมเก่า W221 จนมาถึง W222 มักจะมีความคิดท้าทายอยู่เสมอว่า การที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำรถออกมาได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้แล้วจะเขียนอย่างไรให้ต่างไปจากโบรชัวร์ หรือภาพ/ข่าวโฆษณา? สรุปแบบนี้แล้วกันว่า “เอส-คลาส” ยังคงเป็นรถยนต์ที่อุดมไปด้วยเทคโนโลยียานยนต์ชั้นสูง เพื่อสมรรถนะการขับขี่ การอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยขั้นสุด กับชีวิตหรูหราวิไล ภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูดี มีฐานะ แบบ“ฉลาดเลือก”