ผู้จัดการรายวัน 360 - “ดีเอสไอ” ฟัน “เบนซ์สมเด็จช่วง” ผิดทุกขั้นตอน ชี้ทำเป็นขบวนการ เข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ กรมศุลฯเด้งรับลุยตรวจ เผยอัตราภาษีนำเข้าทั้งคัน 328% พ่วงเอกชนติดร่างแหด้วย “สมเด็จช่วง” ยังนิ่ง-ปฏิบัติกิจตามปกติ ทนายเบรกเหมาว่าครอบครองรถเถื่อนแล้วผิด ย้ำให้ดูเจตนา "เจ้าคุณประสาร" ซัดดีเอสไอแค่เครื่องทางการเมือง ขู่วุ่นแน่ถ้าไม่รีบตั้งสังฆราช “บิ๊กตู่” ลั่นเคลียร์ปมป่วนไม่จบตั้งไม่ได้ “สุวพันธุ์” โอดหนักใจ แต่เชื่อมีทางออก ด้าน “จตุพร” วิพากษ์ปมร้อนมันปาก ทหารหิ้วเข้าค่ายอีก
วานนี้ (18 ก.พ.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ แถลงผลการตรวจสอบรถยนต์ Mercedes-Benz โบราณ ทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ที่มีชื่อ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้ครอบครอง โดยระบุว่า ดีเอสไอได้รับเรื่องเป็นคดีพิเศษเมื่อปี 2556 กระทั่งในปี 2558 มีคนร้องเรียนว่ารถคันดังกล่าวนำเข้าโดยผิดกฎหมาย จึงไปตรวจสอบที่วัดปากน้ำ 2 ครั้ง ปรากฏข้อเท็จจริงโดยสรุปว่า รถคันดังกล่าวเป็นรถยนต์ ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น 300 บี ชนิดสี่ประตู ผลิตเมื่อปี ค.ศ.1953 ปัจจุบันจอดอยู่ชั้นล่างของพระมหาเจดีย์ ภายในวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน หลักฐานทางทะเบียนของกรมการขนส่งทางบกระบุว่า รถจดทะเบียนเมื่อวันที่ 26 ส.ค.54 มีชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง สุดประเสริฐ) เป็นผู้ครอบครอง โดยมี พระมหาศาสนมุนี หรือเจ้าคุณแป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ รับว่าเป็นคนจัดหารถคันนี้ในราคา 4 ล้านบาท เพื่อถวายสมเด็จช่วง
** ผิดทุกขั้นตอน-รับเป็นคดีพิเศษ
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบเอกสารต่างๆในประเด็นเกี่ยวกับการจดประกอบรถพบว่า แต่ละขั้นตอนมีความผิด ทั้งการนำเข้า จดประกอบรถไม่มีใบอนุญาต ปลอมลายมือใบเสร็จรับเงินชำระภาษีจดทะเบียน และการถูกส่งมาจากสหรัฐฯถูกแยกมาระหว่างตัวถังกับเครื่องยนต์ โดยตัวถัง เครื่องยนต์ อุปกรณ์ส่วนควบ จดประกอบ และแจ้งสรรพากร ใช้เอกสารปลอมทั้งหมด ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ น่าจะเข้าข่ายความผิดกฎหมายหลายเรื่อง ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ แจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นการกระทำผิดทางอาญากระทำผิดเป็นขบวนการ มีบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาหลายคน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ ส่วนความผิดฐานปลอมเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นความผิดอีกฐานหนึ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไป รวมทั้งความผิดอื่นที่อาจพบในภายหลังด้วย
“ข้อเท็จจริงจากการสืบสวนดังกล่าว เห็นได้ว่ามีการกระทำความผิดในทุกขั้นตอน กรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นว่าเป็นการกระทำผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อน กระทำผิดเป็นขบวนการ และมีบุคคลที่เกี่ยวข้องและอยู่ในข่ายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาหลายคน จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษจึงมีคำสั่งให้รับเรื่องดังกล่าวไว้สอบสวนเป็นคดีพิเศษ เพื่อพิสูจน์ความผิดและหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีต่อไป” พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าว
** กรมศุลฯบี้เก็บภาษีนำเข้า 328%
นายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า คณะกรรมการเรียกเก็บอากรตาม ม.6 แห่ง พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากรกำลังรอดีเอสไอส่งข้อมูลการนำเข้ารถมาให้ เพื่อดูว่าครบถ้วนหรือไม่แล้วค่อยดูเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีจากการสำแดงนำเข้าแบบชิ้นส่วน สรุปประเมินจัดเก็บภาษี โดยจะเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากบริษัทเอกชน ประกอบด้วย หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส ผู้ส่งนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ ทั้งเครื่องยนต์และตัวถังรถยนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีบริษัทผู้บริการผู้ส่ง คือ ILS, INC. และนำเข้าโครงตัวถังรถยนต์ มาโดย หจก.ซี.ที. ออโตพาร์ท เป็นผู้นำสินค้าเข้า
ส่วนเครื่องยนต์มาโดยเรือ NYK ARGUS เมื่อ 19 ก.ย.53 ทราบว่าเมื่อนำเข้าชิ้นส่วนแล้วนำมาประกอบทั้งคันภายหลัง คาดว่าเป็นการรื้อรถทั้งคันเพื่อต้องการเลี่ยงภาษี จึงต้องประเมินจัดเก็บภาษีนำเข้าร้อยละ 300 ของราคารถยนต์ การตรวจสอบดังกล่าวเป็นการดำเนินคดีทางแพ่ง เพื่อเรียกคืนภาษี ไม่น่าจะใช้เวลานาน
** “สมเด็จช่วง” นิ่งปมรถเถื่อน
อีกด้าน ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตลอดทั้งวัน ยังคงเป็นไปตามปกติ ซึ่งในช่วงเช้า สมเด็จช่วง ได้ลงมาทำวัตรเช้าร่วมกับพระสงฆ์และสามเณร กว่า 200 รูปในโบสถ์ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกุฏิ ทั้งนี้ในช่วงสายมีบรรดาลูกศิษย์ทยอยเดินทางมาที่วัด เพื่อแสดงพลังศรัทธาให้กำลังใจสมเด็จช่วงด้วย จากนั้น สมเด็จช่วงได้เดินทางไปกิจนิมนต์ทำบุญโรงสีที่ จ.สุพรรณบุรี โดยมีใบหน้ายิ้มแย้ม ทักทายญาติโยมตามปกติ
"เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านสอนให้ศิษย์ทุกคนยึดหลักคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องของหลักธรรม ที่จะทำให้เกิดความสุขทั้งทางกายและทางใจ ด้วยการมี ศีล สมาธิ และปัญญา เวลาพูด ทำ คิด ต้องประกอบด้วยเหตุและผล อันเป็นหลักธรรมพื้นฐานของชาวพุทธ และเมื่อปฏิบัติได้เช่นนี้ความขัดแย้งในโลกจะไม่เกิด" ศิษย์ผู้ใกล้ชิด กล่าว
** ทนายวอนดูเจตนา-อย่าเหมารวมว่าผิด
นายศุภภัทร์พจน์ นิติศธร ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เปิดเผยว่า ได้ชี้แจงต่อดีเอสไอตั้งแต่ต้นแล้วว่า ผู้บริจาคได้ซื้อรถคันดังกล่าวจาก นายวิชาญ รัษฐปานะ ซึ่งนายวิชาญจะให้ใครนำเข้า หรือจะให้ใครจดประกอบถูกต้องหรือไม่ ทางผู้บริจาคก็ไม่ทราบ เมื่อนำรถคันดังกล่าวมาถวายแด่สมเด็จช่วง ท่านก็ไม่ทราบว่ารถดังกล่าวจะนำเข้าหรือมีกระบวนการจดประกอบที่ถูกต้องหรือไม่ เรื่องเจตนาจึงไม่มี ตามประมวลกฎหมายอาญาต้องดูที่เจตนา คือ ผู้บริจาคซื้อรถมาเพื่อถวายมาไว้ในพิพิธภัณฑ์
“ดีเอสไอเองก็ยังไม่ชี้ว่าการครอบครองผิดหรือไม่ ผิดอย่างไร ซึ่งต้องมีสอบสวนต่อไป ส่วนประเด็นการนำเข้าและจดประกอบผิดนั้น ไม่เกี่ยวกับผู้บริจาคและสมเด็จช่วง อย่านำไปเหมารวมกันว่า ผู้ครอบครองจะผิดไปด้วย” ฝ่ายกฎหมายวัดปากน้ำกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เงินที่จ่ายค่ารถคันดังกล่าวไปนั้น เป็นเงินจากส่วนไหน นายศุภภัทร์พจน์ กล่าวว่า ได้ให้การต่อดีเอสไอไป 2 ส่วนเกี่ยวกับเงินจ่ายค่ารถ คือ 1.ส่วนแรกจำนวน 1ล้านบาท เป็นชื่อผู้บริจาคสมทบซื้อรถคันนี้เพื่อไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ มีชื่อชัดเจนส่งให้ดีเอสไอไปแล้ว 2.เงินผู้บริจาคผ่าน เจ้าคุณแป๊ะ จำนวน 3 ล้านบาท โดยเจ้าคุณแป๊ะนำเงินบริจาคส่วนนี้ไปจ่ายในการซื้อรถทั้งหมด ทั้งนี้ หากดีเอสไอมาสอบข้อมูลเพิ่ม ฝ่ายกฎหมายของวัดปากน้ำก็พร้อมจะให้ข้อมูล
** “เจ้าคุณประสาร” ขู่บานปลายแน่
ด้าน พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ซึ่งออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯแต่งตั้งสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็ว จนเกิดเหตุกระทบกระทั่งกับเจ้าหน้าที่ทหารที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม กล่าวว่า เจ้าคุณสมเด็จวัดปากน้ำไม่เกี่ยวข้อง อย่าเอาแง่มุมทางกฎหมายมาล่วงเกินคณะสงฆ์ อย่าทำลายล้างทางการเมือง ดีเอสไอเมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็เปลี่ยนอธิบดี คนเคยเป็นมิตร กลายเป็นศัตรู ไม่ใช่ยึดหลักการ เป็นเครื่องมือทำลายล้างการเมือง ดีเอสไอควรรู้อะไรควรไม่ควร อะไรคือข้อกฎหมาย
“ที่ผ่านมาพวกเราไปให้น้ำหนักกับพระ 1 รูป คน 1 คน ที่สร้างเรื่อง หาเรื่องทุกวัน เรื่องนี้จะลุกลามไม่มีที่สิ้นสุด พระส่วนใหญ่ไม่สบายใจมาก จะก่อตัวไปในวันข้างหน้า ลุกลามจนรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ การจาบจ้วงคณะสงฆ์ มีคนมาจ้องทำลาย ไม่ให้สถาปนาสมเด็จวัดปากน้ำเป็นสมเด็จพระสังฆราช อย่างนี้ก็วุ่นวาย อยากสะท้อนเรื่องนี้ถึงภาครัฐ” เจ้าคุณประสาร ระบุ
** “พุทธะอิสระ” ชี้ไม่คืนรถเท่ากับปาราชิก
อีกด้าน พระพุทธะอิสระหรือพระสุวิทย์ ธีรธัมโม เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมองเป็น 2 นัย คือ นัยกฎหมาย คือ ผิดในวัตถุ ที่จดประกอบโดยมิชอบ ส่วนนัยที่ 2 คือ เรื่องพระธรรมวินัย ซึ่งต้องดูพฤติกรรมและเจตนา ที่รับเอาสิ่งที่ผิดกฎหมายเข้ามา ซึ่งต้องดูว่าสมเด็จช่วงจะคืนรถที่ผิดกฎหมายให้แก่หลวงหรือไม่ ถ้ารู้ว่าผิด แต่รถยังจอดอยู่ในวัด ก็ชัดเจน เข้าข่ายปาราชิก แต่ถ้ารีบคืน รีบสละให้แก่หลวง ก็จะถือว่าพฤติกรรมไม่ส่อเจตนา เรียกว่าไม่ครบองค์ประกอบความผิดวินัย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย ต้องดูก่อนว่าสมเด็จช่วงจะทำอย่างไรต่อ
** “บิ๊กตู่” ลั่นยังยุ่งก็แต่งตั้งไม่ได้
ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าว ปัญหาไม่ได้เพิ่งเกิด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ถึงวันนี้จึงต้องมาตัดสินเอาแพ้เอาชนะด้วยกฎหมาย ตนได้มอบหมายให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯไปหาทางออกอยู่ เพราะฉะนั้นยังไม่ขอตอบในตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือหากอ้างกฎหมายทั้ง 2 ฝ่าย รัฐบาลจะทำอย่างไร
“เรื่องแนวคิดการดีเบตของพระสงฆ์นั้น ผมก็พูดไปว่าให้มาพูดคุยกัน แต่ผมเห็นแล้วว่า เขาทำกันมาโดยตลอดอยู่แล้ว ความจริงรัฐมนตรีสุวพันธุ์ก็ทำอยู่ในประเด็นที่ยังมีความขัดแย้ง” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ตนเป็นรัฐบาล แล้วก็เป็นไทยพุทธ แต่ก็ต้องดูแลศาสนาอื่นด้วย แล้วทำไมเราไม่มาร่วมมือกันทำเพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ถ้ายังมีปัญหาอยู่ก็แต่งตั้งไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าคงไม่เอาความขัดแย้งขึ้นมาให้มันเป็นเรื่องเป็นราว นี่คือกฎหมาย
** รบ.ปัดจัดดีเบตออกสื่อ-หวั่นขยายรอยร้าว
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในการบรรยายถวายความรู้แด่พระสังฆาธิการผู้เข้ารับการฝึกซ้อมอบรมเพื่อแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลให้ความเคารพคณะสงฆ์ทุกฝ่าย โดยเฉพาะ พล.อ ประยุทธ์ ได้ส่งข้อความแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ความขัดแย้งของคณะสงฆ์ที่เกิดขึ้นมาให้ตนทุกวัน เพราะรับผิดชอบสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ล่าสุดเมื่อเช้านี้ระหว่างเดินทางกลับจากประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ นายกฯได้ส่งข้อความมาอีกครั้งโดยกำชับให้หาวิธีทำให้เกิดความเข้าใจในคณะสงฆ์ พร้อมทั้งย้ำว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องจัดให้มีการดีเบตออกสื่อ
“ที่ไม่ต้องการให้มีการดีเบต เพราะไม่อยากให้ความเห็นที่แตกต่างขยายตัว เรื่องนี้ได้หารือกับท่านวิษณุแล้วว่า จะใช้วิธีพูดคุยหารือทำความเข้าใจกับคณะสงฆ์หลายๆฝ่าย รวมถึงการปฎิรูปพระพุทธศาสนาเป็นการแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นพระผู้ใหญ่หลายรูปได้แสดงความเป็นห่วง ผมรู้สึกหนักใจ แต่ยืนยันว่าทุกปัญหามีทางออก” นายสุวพันธุ์ กล่าว
** แจ้งความกลับ “หลวงปู่ฯ” บิดเบือน
วันเดียวกัน ที่สถานีตำรวจภูธร (สภ.) พุทธมณฑล จ.นครปฐม นายอัยย์ เพชรทอง อายุ 49 ปี ประธานองค์กรชาวพุทธแห่งประเทศไทย พร้อมทนายความส่วนตัว และสมาชิกองค์กรพลังชาวพุทธกว่า 20 คน นำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความดำเนินคดีหลวงปู่พุทธะอิสระ ข้อหาแจ้งความเท็จกรณีเหตุพระเดินทางมายังพุทธมลฑลเพื่อมาปฏิบัติธรรม ซึ่งหลวงปู่พุทธะอิสระ ได้แจ้งความจับกลุ่มพระ และชาวพุทธเหล่านี้ ทั้งยังเอาภาพพระล็อกคอทหารไปเผยแพร่ทำให้เกิดความเสียหาย และไม่เป็นความจริง โดยมีพนักงานสอบสวนเป็นผู้รับหนังสือ และสอบสวนในการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว
นายอัยย์ กล่าวว่า ที่มาในวันนี้ได้มาเพื่อขอความเป็นธรรม และแจ้งข้อกล่าวหาพระพุทธะอิสระซึ่งแจ้งความเอาผิดต่อกลุ่มผู้ที่มาชุมนุมโดยไม่เป็นความจริง รวมทั้งการนำภาพเหตุการณ์มาเผยแพร่แบบผิดๆด้วย ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อม ทั้งที่หลวงปู่พุทธะอิสระเคยบอกว่าจะปฎิรูปศาสนา แต่กลับมาทำแบบนี้ให้แหลกคามือ แล้วเราจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร
"ในวันนั้นที่มีภาพล็อกคอทหารคือพระท่านมาล็อกคอเพื่อกันทหารให้ออกไป และปกป้องทหาร แต่กลับนำภาพไปสื่อสารในทางที่ผิด ศาสนาก็เสียหาย" นายอัยย์ กล่าว
** “จตุพร” เข้าค่ายทหารหลังวิพากษ์สงฆ์
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.30 น. ที่สถานีโทรทัศน์พีซทีวี อิมพีเรียล ลาดพร้าว เจ้าหน้าที่ทหารได้เดินทางมาพบ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ถึงกรณีที่ นายจตุพร ได้แสดงความคิดเห็นต่อการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ และการใช้งบขุดลอกคลองกว่า 1,400 ล้านบาท ขององค์การทหารผ่านศึก (อผส.) โดยมี นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ร่วมพูดคุยด้วย ภายหลังการเจรจาครู่ใหญ่ เจ้าหน้าที่ได้เชิญตัว นายจตุพร ให้เดินทางไปยังมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) พร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหาร
แหล่งข่าวจาก คสช.กล่าวถึงการเชิญตัว นายจตุพร ไปพูดคุยที่ มทบ.11 ว่า เป็นการเชิญมาพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจ ถึงกรณีที่ นายจตุพร ออกมาแสดงความคิดเห็นในรายการมองไกลผ่านยูทิวป์ว่า รัฐบาลอ้างความขัดแย้งมาถ่วงรั้งการแต่งตั้งสมเด็จช่วง เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ พร้อมชี้ว่า จะทำให้คณะสงฆ์เกิดปัญหาไม่มีวันจบสิ้น เพราะเกรงว่าจะเป็นการปลุกกระแสให้เกิดความวุ่นวาย ทั้งนี้การเชิญดังกล่าวเป็นการพูดคุยธรรมดา โดยมีเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เป็นผู้พูดคุย เมื่อเข้าใจตรงกันแล้วก็จะให้กลับบ้านได้เหมือนปกติอย่างที่เคยเชิญมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารก็เพิ่งเชิญ นายจตุพร เข้ารายงานตัวที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 หลังจากแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ