MGR Online - ทนายส่วนตัว “หลวงพี่แป๊ะ” ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ยื่นดีเอสไอเอาผิด “เสี่ยวิชาญ” เจ้าของอู่จดประกอบ พร้อมนำรถเบนซ์ “สมเด็จช่วง” ให้ตรวจสอบ เผยโอนลอยกลับเจ้าของที่ถวายแล้ว โบ้ยคนขายผิด พระเป็นแค่เหยื่อหลอกขาย อ้างหากเป็นหรูจริงต้องราคา 10 ล้านบาท แต่รถคันนี้แค่ 4 ล้านบาท ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ ยัน จนท.ไม่เลือกปฏิบัติ
วันนี้ (7 มี.ค.) เวลา 14.45 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความส่วนตัวของพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินทางมายื่นเอกสารเพิ่มเติมต่อ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผบ.สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค ดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ รวมทั้งได้นำรถเบนซ์โบราณ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ในการครอบครองของสมเด็จช่วงขึ้นรถสไลด์มามอบให้เจ้าหน้าที่
นายสุรพงษ์เปิดเผยว่า ตนเป็นตัวแทนของหลวงพี่แป๊ะ ส่งมอบรถเบนซ์โบราณให้ทางดีเอสไอตรวจสอบ แต่ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาจึงนำรถมาพิสูจน์ว่าผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าผิดให้ไปดำเนินคดีต่อผู้ขาย ไม่ใช่ทางวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีผู้ใหญ่ได้พูดถึงเรื่องคดีรถจดประกอบทั้งหมด ท่านต้องดำเนินคดีตามมาตรฐานเดียวกันและต้องเปิดเผยรายชื่อว่าใครเป็นผู้ครอบครอง ไม่ใช่เปิดเผยแค่เพียงเราฝ่ายเดียว
นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนการจะเชิญสมเด็จช่วงมาให้ถ้อยคำนั้นไม่สามารถมาได้เพราะไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และไม่ใช่ผู้ต้องหา เพียงแต่เป็นผู้ครอบครองรถที่อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็พร้อมให้ความร่วมมือกับทางดีเอสไอ ส่วนรถคันนี้กำลังส่งคืนผู้บริจาคซึ่งร่วมกันถวายหลายคนและถือว่าเป็นผู้เสียหายด้วย รวมทั้งได้โอนลอยไปแล้ว โดยคนขายกระทำผิดอย่างไรเราไม่ทราบ
“หากตรวจสอบรถคันดังกล่าวแล้วพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ออกเป็นหนังสือ อย่าแถลงข่าวว่ารถคันนี้ถูกหรือผิดอย่างไร หรือใครเป็นผู้ต้องหา และอย่าพูดคลุมเครือว่าเป็นรถพระจดประกอบ เนื่องจากพระเป็นเพียงผู้ซื้อและตกเป็นเหยื่อของการหลอกขาย นอกจากนี้ รถเราไม่ใช่รถหรูเพราะมีมูลค่า 4 ล้านบาท หากเป็นรถหรูจริงต้องราคา 10 ล้านบาทขึ้น ให้เรียกว่ารถโบราณและเลิกใช้มานานแล้ว” นายสุรพงษ์กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ให้มาตรวจสอบรายละเอียดซึ่งคดีดังกล่าวได้รับเป็นคดีพิเศษ โดยทางสำนักคดีภาษีอากร ดีเอสไอ จะเป็นผู้สอบสวนในลำดับต่อไป
พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าวอีกว่า สำหรับรถจดประกอบทั้งหมด 7,123 คัน กรมการขนส่งทางบกจะส่งเอกสารเกี่ยวกับรถทุกคันมายังดีเอสไอ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน และขอยืนยันเรื่องคดีรถจดประกอบ เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากที่ผ่านมาก็มีการดำเนินคดีตามกฎหมายพอสมควร
“ส่วนการจะเอาผิดต่อนายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่วิชาญ ผู้ขายรถเบนซ์โบราณให้กับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ นั้นอยู่ในชั้นสอบสวนซึ่งจะตรวจสอบว่าใครถูกใครผิดตามกระบวนการข้อเท็จจริง ส่วนที่ว่า สมเด็จช่วงมีการโอนลอยไปแล้วยังไม่ขอตอบในรายละเอียด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะนำรถเบนซ์คันนี้ไปเก็บไว้บริเวณลานจอดรถชั้น 8 อาคารไปรษณีย์ไทย ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อดำเนินการต่อไป” พ.ต.ท.กรวัชร์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์โบราณย่านเพชรเกษม ซึ่งได้รับซ่อมรถเบนซ์โบราณของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (สมเด็จช่วง) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และเคยเดินทางเข้าให้ปากคำ ดีเอสไอ ในฐานะพยาน ถึง 2 ครั้ง เมื่อช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมยืนยันได้รับการว่าจ้างจากผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำให้ดำเนินการบูรณะปรับปรุงสภาพรถยนต์โบราณคันนี้ พร้อมทั้ง ยังเป็นผู้จัดหาอะไหล่รถมาให้ทางอู่เอง โดยอู่รถมีหน้าที่ซ่อมและสั่งซื้ออะไหล่บางส่วนที่ทางวัดหาไม่ได้เท่านั้น โดยเป็นการปรับปรุงคุณภาพรถเกือบทั้งคัน เช่น ตัวถังรถ งานภายใน ทำสี ฯลฯ ซึ่งเริ่มทำเมื่อปลายปี 2553 และเสร็จปลายปี 2554
ทั้งนี้ นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ตอนรับรถคันดังกล่าวมาทำนั้นไม่ทราบว่ามีการจดทะเบียนหรือยัง โดยมีหลวงพี่ที่วัดปากน้ำเป็นผู้นำรถมาให้แต่ไม่ได้บอกว่านำรถคันนี้มาจากไหน ซึ่งทางอู่มีหน้าที่แค่ทำรถ ส่วนเรื่องที่รถคันนี้จะจดประกอบทีหลังหรืออะไรต่างๆ ไม่ทราบไม่ เพราะเรามีหน้าที่แค่ซ่อมรถและขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจดประกอบรถ
“สาเหตุที่รับซ่อมรถคันดังกล่าวเพราะคิดว่าได้บุญและเป็นเกียรติเนื่องจากผมเองก็เป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ วันหนึ่งมีพระผู้ใหญ่นำรถมาให้ซ่อมรู้สึกดี ลงมือซ่อมเพียงอย่างเดียวและไม่ทราบเอกสารอะไรทั้งสิ้น นอกจากนี้ ดีเอสไอ แจ้งว่า อู่ตนทำทุกขั้นตอนนั้นขออธิบายว่าการทำรถโบราณขั้นตอนต่าง ๆ พระสงฆ์ไม่ทราบว่ามีอะไรบ้างและให้ทางอู่รถซื้อหาอะไหล่ หรือมาสอบถามผมก็จะจัดหาให้ ซึ่งใครๆ ก็หาได้ เพราะคนว่าจ้างได้จ่ายเงินแล้ว” นายวิชาญ กล่าว