จับตาทิศทางตลาดรถหรูเมืองไทย ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสะดุดตามภาวะเศรษฐกิจ หรือถดถอยเหมือนกับตลาดรวม เมื่อ 3 ค่ายดัง เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู และเลกซัส ยังใส่เกียร์เดินหน้า เตรียมขนรถยนต์รุ่นใหม่มาเปิดตัวช่วงปลายปีนี้อีกหลายรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มเอสยูวี ที่พร้อมลุยตลาดทั้งในรูปแบบนำเข้าทั้งคันและการขึ้นไลน์ประกอบในประเทศ
ในงาน BMW XPO 2015 ที่เพิ่งปิดฉากลงไป ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย “แมทธิอัส พฟาลซ์” ประกาศชัดว่า ตลาดรถหรูในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ก.ค.2558) ไม่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ โดยตลาดรถหรูสามารถทำยอดขายได้ถึง 11,200 คัน เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งยังคาดการณ์ว่าตลาดรถหรูเมืองไทยในปีนี้ จะปิดยอดขายไม่ต่ำกว่า 20,000 คันแน่นอน ส่วนจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วในอัตราส่วนเท่าไหร่ยังระบุไม่ได้
...นั่นเป็นการมองของแม่ทัพใหญ่จากค่ายใบพัดสีฟ้า และไม่น่าจะเป็นการพูดเกินจริงเท่าไหร่ เพราะในส่วนของยอดขายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบิ๊กไบค์มอเตอร์ราด ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ต่างทำยอดขายเติบโตระดับ 7% 22% 140% ตามลำดับ
และเพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย ปลายปีนี้บีเอ็มดับเบิลยูยังมีทีเด็ดกับรถยนต์โมเดลใหม่อีกอย่างน้อย 3 รุ่นนั่นคือ รถธงอย่าง “ซีรีส์ 7 โฉมใหม่” ที่เตรียมอุ่นเครื่องก่อน ด้วยการยกขบวนดีลเลอร์ไปทดสอบพร้อมสัมผัสเทคโนโลยีกันถึงประเทศเยอรมันในช่วงเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ตามถ้าให้โฟกัสไปที่กลุ่มเอสยูวี ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูมีแผนเปิดตัวอีก 2 รุ่นนั่นคือ เอสยูวีหรือครอสโอเวอร์รุ่นเล็กอย่าง “เอ็กซ์1 โมเดลเชนจ์” (All New X1) ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกช่วงกลางปีที่ผ่านมา
โดยเอสยูวีระดับ Entry Level เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่สอง ในรหัสตัวถัง F48 ความน่าสนใจอยู่ที่การเปลี่ยนเลย์เอ้าของรถมาขับเคลื่อนล้อหน้า หรือหันมาแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับ ซีรีส์ 2 ตัวถังมินิแวนรุ่น แกรนด์ทัวเรอร์ และแอคทีฟทัวเรอร์
สำหรับเมืองไทย ช่วงแรกน่าจะทำตลาดกับรุ่น xDrive20d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ทั้งนี้ตามแผนของบีเอ็มดับบิลยูน่าจะเตรียมขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์รุ่นนี้ ที่โรงงานจังหวัดระยองแน่นอน พร้อมวางเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ และเปิดราคาที่จับต้องได้หรืออยู่แถวๆสองล้านบาท
อีกรุ่นถือเป็นการพลิกโฉมเทคโนโลยียานยนต์ เมื่อบีเอ็มดับเบิลยูเตรียมเสริมทัพเอสยูวีขนาดกลาง “เอ็กซ์5”ด้วยรุ่นปลั๊กอินไฮบริด หรือเทคโนโลยี eDrive ในชื่อการทำตลาดว่า X5 xDrive40e
โดย eDrive ใน“เอ็กซ์5” ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้กำลังสูงสุดรวม 313 แรงม้า พร้อมเคลมอัตราบริโภคน้ำมันไว้ 3.3-3.4 ลิตร/ 100 กม. หรือประมาณ 29-30 กม./ลิตร คาดว่าราคาขายน่าจะอยู่แถวๆ 6 ล้านบาท
....ข้ามมาที่ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งร่วมชาติ ที่มีความชัดเจนจากการประกาศขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์อีกสองรุ่นในประเทศไทย นอกเหนือไปจาก ซี,อี,เอส-คลาส ไฮบริด นั่นคือเอสยูวี “จีแอลเอ-คลาส” และสปอร์ตสี่ประตูสไตล์คูเป้ “ซีแอลเอ-คลาส”
โดยรายงานจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยแจ้งผู้สื่อข่าวว่า เตรียมจัดงานแถลงข่าวการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ในกลุ่ม New Generation Compact Car รุ่นประกอบในประเทศไทยหรือซีเคดีเป็นครั้งแรก อย่าง The new GLA และ The new CLA ในวันที่ 25 กันยายน 2558 ณ ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์
ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่า การตัดสินใจขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์สองรุ่นนี้จะวางกำลังผลิตที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ไว้เท่าไหร่(ต่อปี) เพราะนี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าพ่อรถหรูเมืองไทยมั่นใจว่า รถยนต์สองรุ่นนี้มีความต้องการจากตลาดในประเทศเพียงพอ จนคุ้มค่าต่อการลงทุน
ในส่วนของราคาขาคงต้องวัดใจ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ว่าจะปรับลงมาจากรุ่นนำเข้าที่ขายอยู่ 2.47 ล้านบาท สำหรับ GLA 200 Urban (เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ) หรือไม่? เช่นเดียวกับ CLA 180 Urban รุ่นนำเข้าที่ตั้งราคาไว้ 2.39 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมืองไทยยังเตรียมต้อนรับการทำตลาดของคอมแพกต์เอสยูวีรุ่นใหม่ GLC-Class หรือตัวแทนของ GLK ซึ่งที่ผ่านมาเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้นำเข้ารถยนต์รุ่นนี้มาทำตลาด เนื่องจากไม่มีนโยบายผลิตพวงมาลัยขวา ดังนั้นการขายที่ผ่านมา “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3” จึงยึดช่องว่างตรงนี้ขายสบาย
ทว่าเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนโมเดลใหม่ พร้อมการปรับชื่อและสร้างการสื่อสารให้รถในกลุ่มเอสยูวีชัดเจนขึ้น GLC-Class น่าจะเป็นอีกหนึ่งรุ่นสำคัญที่จะเข้ามาปั้นยอดขายให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย อย่างแน่นอน
โดย GLC-Class เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015 เดือนธันวาคมนี้ ด้วยรุ่นนำเข้า GLC 250d 4 MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร ราคาน่าจะอยู่ในช่วง 3-4 ล้านบาท จากนั้นก็เตรียมลุ้นขึ้นไลน์ประกอบในประเทศในปีหน้าได้เลย
ปิดท้ายด้วยค่าย “เลกซัส” แบรนด์หรูในเครือโตโยต้า ที่อาวุธเด็ดในปีนี้คือเอสยูวีน้องเล็กรุ่นใหม่ “เอ็นเอ็กซ์” ที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 500 คันจากยอดขายเลกซัสทุกรุ่นในปีนี้ 700 คัน
สำหรับ“เอ็นเอ็กซ์” อาจจะได้กระแสตอบรับดีเพราะเป็นเอสยูวีระดับ Entry Level ของเลกซัส แต่เมื่อถึงเวลากลับมาของรุ่นพี่ตัวจริงอย่าง “อาร์เอ็กซ์” ที่ถือเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของเลกซัสตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา 26 ปี ด้วยยอดขายสะสมทั่วโลกในสามเจเนอเรชันแรกรวมกันถึง 2.1 ล้านคัน จึงคาดหมายได้ว่าในปีหน้า “อาร์เอ็กซ์” จะเป็นตัวขายหลักของเลกซัส ในประเทศไทย
สำหรับ “อาร์เอ็กซ์ โฉมใหม่” (All New Lexus RX) หรือเจเนอเรชันที่4 ได้รับการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถยนต์เลกซัสยุคใหม่ ขณะที่ตัวถังก็ใหญ่ขึ้นทุกมิติ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เช่นเดียวกับออปชันอำนวยความสะดวก ปลอดภัยที่ใส่มาให้ไม่ยั้ง
ส่วนการทำตลาดแบ่งเป็นรุ่น RX 450h ใช้เครื่องยนต์ใหม่ วี6 ขนาด 3.5 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และรุ่น RX 350 ใช้เครื่องยนต์ใหม่ วี6 ขนาด 3.5 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เช่นกัน พร้อมประกบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
ส่วนไฮไลต์ที่เลกซัส กรุ๊ป ในเมืองไทยหวังขายมากที่สุดคือรุ่นใหม่ RX 200t กับเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งรุ่นนี้จะแบ่งการขายเป็น 3 รุ่นย่อยคือ ตัวเริ่มต้น Luxury ขับเคลื่อนสองล้อ ล้ออัลลอยด์ 18 นิ้ว ตัวกลาง Premium ขับเคลื่อนสองล้อ ล้ออัลลอยด์ 20 นิ้ว และตัวบนคือ F-Sport มาพร้อมการตกแต่งที่ดุดันทั้งภายนอกภายใน พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD และระบบปรับช่วงล่างอัตโนมัติ (AVS- Adaptive Variable Suspension) ประกบล้ออัลลอย 20 นิ้ว
ทั้งนี้ RX 200t จะเข้ามาทำตลาดแทนรุ่น RX 270 เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร ส่วนราคาในรุ่นใหม่คาดว่าจะวางระดับไว้ใกล้เคียงกับรุ่นเดิม (RX 270 ขาย 3.94 - 4.49 ล้านบาท)
…ทั้งหมดเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในกลุ่มเอสยูวีหรู ที่เตรียมแนะนำเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้ โดยมีให้เลือกหลายแบบ หลากขนาดตัวถัง และระบบขับเคลื่อน รวมถึงระดับราคา จนเรียกได้ว่า “ยุคทองของเอสยูวี” กลับมาอีกครั้งแล้ว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring
ในงาน BMW XPO 2015 ที่เพิ่งปิดฉากลงไป ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย “แมทธิอัส พฟาลซ์” ประกาศชัดว่า ตลาดรถหรูในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.- ก.ค.2558) ไม่ได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจ โดยตลาดรถหรูสามารถทำยอดขายได้ถึง 11,200 คัน เติบโต 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ทั้งยังคาดการณ์ว่าตลาดรถหรูเมืองไทยในปีนี้ จะปิดยอดขายไม่ต่ำกว่า 20,000 คันแน่นอน ส่วนจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วในอัตราส่วนเท่าไหร่ยังระบุไม่ได้
...นั่นเป็นการมองของแม่ทัพใหญ่จากค่ายใบพัดสีฟ้า และไม่น่าจะเป็นการพูดเกินจริงเท่าไหร่ เพราะในส่วนของยอดขายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบิ๊กไบค์มอเตอร์ราด ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ต่างทำยอดขายเติบโตระดับ 7% 22% 140% ตามลำดับ
และเพื่อให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย ปลายปีนี้บีเอ็มดับเบิลยูยังมีทีเด็ดกับรถยนต์โมเดลใหม่อีกอย่างน้อย 3 รุ่นนั่นคือ รถธงอย่าง “ซีรีส์ 7 โฉมใหม่” ที่เตรียมอุ่นเครื่องก่อน ด้วยการยกขบวนดีลเลอร์ไปทดสอบพร้อมสัมผัสเทคโนโลยีกันถึงประเทศเยอรมันในช่วงเดือนตุลาคมนี้
อย่างไรก็ตามถ้าให้โฟกัสไปที่กลุ่มเอสยูวี ค่ายบีเอ็มดับเบิลยูมีแผนเปิดตัวอีก 2 รุ่นนั่นคือ เอสยูวีหรือครอสโอเวอร์รุ่นเล็กอย่าง “เอ็กซ์1 โมเดลเชนจ์” (All New X1) ที่เพิ่งเปิดตัวในตลาดโลกช่วงกลางปีที่ผ่านมา
โดยเอสยูวีระดับ Entry Level เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่สอง ในรหัสตัวถัง F48 ความน่าสนใจอยู่ที่การเปลี่ยนเลย์เอ้าของรถมาขับเคลื่อนล้อหน้า หรือหันมาแชร์พื้นฐานทางวิศวกรรมร่วมกับ ซีรีส์ 2 ตัวถังมินิแวนรุ่น แกรนด์ทัวเรอร์ และแอคทีฟทัวเรอร์
สำหรับเมืองไทย ช่วงแรกน่าจะทำตลาดกับรุ่น xDrive20d เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร ทั้งนี้ตามแผนของบีเอ็มดับบิลยูน่าจะเตรียมขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์รุ่นนี้ ที่โรงงานจังหวัดระยองแน่นอน พร้อมวางเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.5 ลิตร เทอร์โบ และเปิดราคาที่จับต้องได้หรืออยู่แถวๆสองล้านบาท
อีกรุ่นถือเป็นการพลิกโฉมเทคโนโลยียานยนต์ เมื่อบีเอ็มดับเบิลยูเตรียมเสริมทัพเอสยูวีขนาดกลาง “เอ็กซ์5”ด้วยรุ่นปลั๊กอินไฮบริด หรือเทคโนโลยี eDrive ในชื่อการทำตลาดว่า X5 xDrive40e
โดย eDrive ใน“เอ็กซ์5” ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ให้กำลังสูงสุดรวม 313 แรงม้า พร้อมเคลมอัตราบริโภคน้ำมันไว้ 3.3-3.4 ลิตร/ 100 กม. หรือประมาณ 29-30 กม./ลิตร คาดว่าราคาขายน่าจะอยู่แถวๆ 6 ล้านบาท
....ข้ามมาที่ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งร่วมชาติ ที่มีความชัดเจนจากการประกาศขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์อีกสองรุ่นในประเทศไทย นอกเหนือไปจาก ซี,อี,เอส-คลาส ไฮบริด นั่นคือเอสยูวี “จีแอลเอ-คลาส” และสปอร์ตสี่ประตูสไตล์คูเป้ “ซีแอลเอ-คลาส”
โดยรายงานจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทยแจ้งผู้สื่อข่าวว่า เตรียมจัดงานแถลงข่าวการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ในกลุ่ม New Generation Compact Car รุ่นประกอบในประเทศไทยหรือซีเคดีเป็นครั้งแรก อย่าง The new GLA และ The new CLA ในวันที่ 25 กันยายน 2558 ณ ลานด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์
ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่า การตัดสินใจขึ้นไลน์ประกอบรถยนต์สองรุ่นนี้จะวางกำลังผลิตที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ไว้เท่าไหร่(ต่อปี) เพราะนี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้าพ่อรถหรูเมืองไทยมั่นใจว่า รถยนต์สองรุ่นนี้มีความต้องการจากตลาดในประเทศเพียงพอ จนคุ้มค่าต่อการลงทุน
ในส่วนของราคาขาคงต้องวัดใจ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ว่าจะปรับลงมาจากรุ่นนำเข้าที่ขายอยู่ 2.47 ล้านบาท สำหรับ GLA 200 Urban (เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร เทอร์โบ) หรือไม่? เช่นเดียวกับ CLA 180 Urban รุ่นนำเข้าที่ตั้งราคาไว้ 2.39 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมืองไทยยังเตรียมต้อนรับการทำตลาดของคอมแพกต์เอสยูวีรุ่นใหม่ GLC-Class หรือตัวแทนของ GLK ซึ่งที่ผ่านมาเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ได้นำเข้ารถยนต์รุ่นนี้มาทำตลาด เนื่องจากไม่มีนโยบายผลิตพวงมาลัยขวา ดังนั้นการขายที่ผ่านมา “บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์3” จึงยึดช่องว่างตรงนี้ขายสบาย
ทว่าเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนโมเดลใหม่ พร้อมการปรับชื่อและสร้างการสื่อสารให้รถในกลุ่มเอสยูวีชัดเจนขึ้น GLC-Class น่าจะเป็นอีกหนึ่งรุ่นสำคัญที่จะเข้ามาปั้นยอดขายให้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย อย่างแน่นอน
โดย GLC-Class เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2015 เดือนธันวาคมนี้ ด้วยรุ่นนำเข้า GLC 250d 4 MATIC เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร ราคาน่าจะอยู่ในช่วง 3-4 ล้านบาท จากนั้นก็เตรียมลุ้นขึ้นไลน์ประกอบในประเทศในปีหน้าได้เลย
ปิดท้ายด้วยค่าย “เลกซัส” แบรนด์หรูในเครือโตโยต้า ที่อาวุธเด็ดในปีนี้คือเอสยูวีน้องเล็กรุ่นใหม่ “เอ็นเอ็กซ์” ที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 500 คันจากยอดขายเลกซัสทุกรุ่นในปีนี้ 700 คัน
สำหรับ“เอ็นเอ็กซ์” อาจจะได้กระแสตอบรับดีเพราะเป็นเอสยูวีระดับ Entry Level ของเลกซัส แต่เมื่อถึงเวลากลับมาของรุ่นพี่ตัวจริงอย่าง “อาร์เอ็กซ์” ที่ถือเป็นรถรุ่นที่ขายดีที่สุดของเลกซัสตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์มา 26 ปี ด้วยยอดขายสะสมทั่วโลกในสามเจเนอเรชันแรกรวมกันถึง 2.1 ล้านคัน จึงคาดหมายได้ว่าในปีหน้า “อาร์เอ็กซ์” จะเป็นตัวขายหลักของเลกซัส ในประเทศไทย
สำหรับ “อาร์เอ็กซ์ โฉมใหม่” (All New Lexus RX) หรือเจเนอเรชันที่4 ได้รับการออกแบบที่โฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถยนต์เลกซัสยุคใหม่ ขณะที่ตัวถังก็ใหญ่ขึ้นทุกมิติ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เช่นเดียวกับออปชันอำนวยความสะดวก ปลอดภัยที่ใส่มาให้ไม่ยั้ง
ส่วนการทำตลาดแบ่งเป็นรุ่น RX 450h ใช้เครื่องยนต์ใหม่ วี6 ขนาด 3.5 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และรุ่น RX 350 ใช้เครื่องยนต์ใหม่ วี6 ขนาด 3.5 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เช่นกัน พร้อมประกบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด
ส่วนไฮไลต์ที่เลกซัส กรุ๊ป ในเมืองไทยหวังขายมากที่สุดคือรุ่นใหม่ RX 200t กับเครื่องยนต์เบนซินบล็อกใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร ไดเรกอินเจกชัน เทอร์โบ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ซึ่งรุ่นนี้จะแบ่งการขายเป็น 3 รุ่นย่อยคือ ตัวเริ่มต้น Luxury ขับเคลื่อนสองล้อ ล้ออัลลอยด์ 18 นิ้ว ตัวกลาง Premium ขับเคลื่อนสองล้อ ล้ออัลลอยด์ 20 นิ้ว และตัวบนคือ F-Sport มาพร้อมการตกแต่งที่ดุดันทั้งภายนอกภายใน พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ AWD และระบบปรับช่วงล่างอัตโนมัติ (AVS- Adaptive Variable Suspension) ประกบล้ออัลลอย 20 นิ้ว
ทั้งนี้ RX 200t จะเข้ามาทำตลาดแทนรุ่น RX 270 เครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร ส่วนราคาในรุ่นใหม่คาดว่าจะวางระดับไว้ใกล้เคียงกับรุ่นเดิม (RX 270 ขาย 3.94 - 4.49 ล้านบาท)
…ทั้งหมดเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในกลุ่มเอสยูวีหรู ที่เตรียมแนะนำเข้าสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้ โดยมีให้เลือกหลายแบบ หลากขนาดตัวถัง และระบบขับเคลื่อน รวมถึงระดับราคา จนเรียกได้ว่า “ยุคทองของเอสยูวี” กลับมาอีกครั้งแล้ว
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring