หลังจากพีพีวีโมเดลเชนจ์ของสามค่ายคือ ฟอร์ด โตโยต้า และมิตซูบิชิ เปิดตัวและมีรถปล่อยลงสู่ตลาดในระยะเวลาใกล้เคียงกัน (ปลายไตรมาส3ต่อเนื่องถึงไตรมาส4) ผู้เขียนก็พยายามย้ำนะครับว่า ใครอยากได้รถประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้รีบตัดสินใจซื้อก่อนที่โครงสร้างภาษีใหม่จะดันราคาขึ้นในปีหน้า
อย่างตัวท็อปของทั้ง ฟอร์จูนเนอร์ และ เอเวอเรสต์ น่าจะขยับราคาขึ้นไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท
ในเมื่อกฎหมายเขาเตรียมบังคับใช้แน่ๆอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากพีพีวีโฉมใหม่ที่รอคอยเปิดตัวออกมา บวกกับสองรุ่นที่ขายอยู่เดิมคือ “อีซูซุ มิวเอ็กซ์” และ “เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์” ก็ลองเปรียบเทียบข้อมูลแล้วตัดสินใจไปเลยครับ
ส่วนใครยังไม่ได้ลองขับ เดี๋ยวผู้เขียนจะแบ่งปันความรู้สึกคร่าวๆ หลังมีโอกาสได้ทดสอบพีพีวีรุ่นใหม่ครบทั้งสามโมเดล เผื่อจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ
ล่าสุดผู้เขียนลงใต้ไปลองขับ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” (All New Toyota Fortuner) ใช้เส้นทางสุราษฎร์ธานี - ภูเก็ต ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร
การออกแบบตัวรถโฉบเฉี่ยวไฉไล ละทิ้งคราบไคลของปิกอัพ “รีโว่” เสียสิ้น ด้านหน้าก็ดูดี ส่วนด้านหลังเด่นกว่า ต้องบอกว่าออกแบบเก่งครับ เพราะรถพีพีวีหลายรุ่นจะมาตกม้าตายที่รูปโฉมด้านหลัง ที่มักออกแบบขาดๆเกินๆ(เพราะต้องคำนึงหลายอย่าง) แต่สำหรับฟอร์จูนเนอร์ ก้นงามแถมดูสมส่วนลงตัว
ภายในตัวท็อปจะใช้เบาะหนังสีน้ำตาลออกส้ม เหมือนรถยุโรปราคาแพง ซึ่งเบาะสีนี้โตโยต้าเรียกว่าสีครีมชามัวส์ มีเฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น
โดดเด่นด้วยการออกแบบคอนโซลกลาง ที่ใช้หนังสังเคราะห์มาแต้มแต่งในแนวตั้ง ช่วยขับความเด่นของหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว (แสดงระบบต่างๆของรถ) ถัดลงมาเป็นแผงควบคุมแอร์อัตโนมัติ ขณะที่ช่องต่อ USB และ AUX ก็อยู่ใกล้ๆกับปุ่มเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า (เดิมเป็นคันโยกเล็กๆแบบสายเคเบิ้ลอยู่ใกล้ๆคันเกียร์)
พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน มองทะลุไปเป็นหน้าจอ TFT แสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ ขนาบด้วยมาตรวัดความเร็ว(ขวา)และรอบเครื่องยนต์(ซ้าย) เรืองแสงสดใส
…การออกแบบภายในยกระดับขึ้นมาดี พร้อมการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ดูหรูหราน่าสัมผัส
แต่อีกหนึ่งจุดของการเป็นพีพีวีอเนกประสงค์แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง คือการออกแบบเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งการไปลองนั่งตำแหน่งนี้ ผู้เขียนไม่ชอบอยู่แล้ว(เพราะผู้เขียนตัวใหญ่) นั่งคันไหนอย่างไรก็อึดอัด เพียงแต่ยังสงสัยเรื่องการออกแบบการพับเก็บเบาะ เพราะทั้ง เอเวอเรสต์ ปาเจโร สปอร์ต สามารถพับได้เนี้ยบเรียบกว่าฟอร์จูนเนอร์ ที่ยังคิดง่ายเหมือนเดิมคือพับเกี่ยวเอาไว้ด้านข้าง
…ประเด็นนี้ ถ้าเป็นรุ่นเก่าผู้เขียนยังพอเข้าใจได้ ทว่าเป็นรุ่นใหม่สมัยนี้ ยังจะพับเกี่ยวแล้วแขวน มันดูว่าโตโยต้าใส่ใจรายละเอียดน้อยไปนิด (เอเวอเรสต์นี่กดพับเก็บได้ด้วยการกดปุ่มควบคุมไฟฟ้า)
แต่ฟอร์จูนเนอร์ก็ยังดีอยู่บ้างที่การเปิด-ปิดประตูด้านท้าย เป็นแบบไฟฟ้าแล้วครับ ซึ่งออปชันนี้ เอเวอเรสต์มีเช่นกันแต่ ปาเจโร สปอร์ต ไม่มี
…(ถ้ายังเถียงกันว่า ใช้อุปกรณ์หรือบางฟังก์ชันที่เป็นระบบไฟฟ้า กลัวพังง่ายหรือเดี๋ยวก็พัง สุดแล้วแต่แนวคิดครับ แต่ผู้เขียนเพียงจะบอกว่าอะไรที่เป็นมูลค่ามีราคา ก็ต้องว่ากันตามจริง)
เครื่องยนต์ 1GD-FTV 4 สูบ ขนาด 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที เมื่อเทียบกับ 1KD ขนาด 3.0 ลิตรบล็อกเก่า จะเห็นว่าขนาดเครื่องยนต์เล็กลง แต่ให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเคลมว่ากินน้ำมันลดลง 10%
เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถือเป็นการผสานงานที่ลงตัว การส่งผ่านกำลังลงสู่ล้อกระชับ กระฉับกระเฉง ถ้าสังเกตเรี่ยวแรงฉุดดึง ก็จัดมาให้ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 รอบ เซ็ทอัตราทดมาดี ก็ได้ทั้งพลังเต็มพิกัดในรอบเครื่องยนต์ไม่สูง และช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน
บนความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุดรอบเครื่องยนต์ก็อยู่แถวๆ 1,800 รอบเท่านั้น เมื่อบวกกับการเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ คือโดยปกติหลังสตาร์ทเครื่องยนต์ รถจะขับเคลื่อนสองล้อหลัง 100% ซึ่งต่างจากเดิมที่เป็นแบบฟูลไทม์ ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา
ดังนั้นพอจะยืนยันได้ว่าด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ย่อมทำให้ ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ (รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ) ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมแน่นอน (ส่วน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ก็ขับดีสมรรถนะเยี่ยม แต่ตัวท็อป เครื่องยนต์ 5 สูบ 3.2 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบฟูลไทม์ ซดน้ำมันหนักกว่าแน่)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันลองวัดในระยะทาง 100 กิโลเมตร ช่วงขับทางตรงยาวๆ บนเส้นเซาเทิร์น ซีบอร์ด ใช้ความเร็ว เฉลี่ย 120 - 140 กม./ชม. แต่ก็มีช่วงเร่งแรงๆ ระดับเกิน 140 กม./ชม.อยู่บ้าง หน้าจอยังแสดงตัวเลขแถวๆ 12 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร กับระบบส่งกำลังแม้จะเป็นแบบ 6 สปีด (ปาเจโร สปอร์ต 8 สปีด) ขับจริงๆผู้เขียนว่า ฉลาดเหลือเฟือ ประสิทธิภาพการส่งกำลังยังเนียนเป็นธรรมชาติ ทันใจ-ทันเท้าผู้ขับขี่
ทั้งนี้ฟอร์จูนเนอร์จะใช้มีปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นเหมือนมิตซูบิชิ แต่เอเวอเรสต์ไม่มี ขณะเดียวกันในเกรด V ยังมีระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง(ติดไฟแดง) จากการลองขับผ่านเมืองบางช่วงระบบนี้ทำงานให้เห็นบ่อยครั้ง โดยเครื่องยนต์ดับภายในห้องโดยสารเงียบสนิท แต่แอร์ก็ยังให้ความเย็นอยู่
ขณะที่พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนผ่อนแรงด้วยพาวเวอร์ไฮดรอลิก ให้เสถียรภาพการควบคุมสูง นิ่งในทางตรง และแน่นมือในทางโค้ง ตรงนี้แอบชอบมากกว่า ปาเจโร สปอร์ต อยู่นิดๆ แต่กระนั้นถ้าเทียบกับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ที่เป็นแบบผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พีพีวีอเมริกันขับได้คล่องแคล่ว และสบายมือกว่า (ปกติผู้เขียนก็ไม่ชอบพวงมาลัยไฟฟ้า แต่ของเอเวอเรสต์ทำให้การควบคุมรถใหญ่ๆเป็นเรื่องง่าย และรู้สึกมั่นใจจริงๆ)
เช่นเดียวกับช่วงล่างที่สองพีพีวีญี่ปุ่นพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งลดความกระด้าง แถมให้ความหนึบแน่น แต่เมื่อขับผ่านอุปสรรค หรือเนินกระโดด หลุมบ่อ ยังพอรับรู้อาการ เด้งสะท้านจากพื้นถนนอยู่บ้าง ผิดจากเอเวอเรสต์ ที่ซับแรงสะเทือนต่างๆได้นุ่มเนียนกว่า
ด้านระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัมของฟอร์จูนเนอร์ แม้ประสิทธิภาพไม่ขี้เหร่ ตอบสนองการชะลอหยุดได้อย่างแม่นยำและนุ่มนวล(สัมผัสของเบรกดีกว่ารุ่นเก่า) เพียงแต่ความรู้สึกถึงความห่วงใยมันต่างกับสองคู่แข่ง ที่เขาใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อกันหมดแล้ว
ไหนๆจะทำพีพีวีหรือเอสยูวี เพื่อการเป็นรถยนต์นั่ง(คันโต)ใช้งานอเนกประสงค์แล้ว ก็น่าจะใส่มาเถอะครับไม่ต้องเขียม (เห็นว่าเวอร์ชันส่งออกไปตะวันออกกลาง ฟอร์จูนเนอร์จะใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อ) นี่ยังไม่รวมระบบความปลอดภัยขั้นเทพ (ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์)ที่ ปาเจโร สปอร์ต และ เอเวอเรสต์ ใส่มาให้ไม่ยั้ง อีกนะครับ
รวบรัดตัดความ...ชื่อชั้นของแบรนด์และความมั่นใจหลังจากซื้อรถไปแล้ว เป็นสิ่งที่โตโยต้าสั่งสมมานาน หรือยังเหนือกว่าสองคู่แข่งลิบลับ ในส่วนของ“ฟอร์จูนเนอร์” เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 กับเกียร์เซ็ทมายอดเยี่ยม รีดสมรรถนะได้โดดเด่น แต่ถ้าเทียบเฉพาะสิ่งที่ให้มากับรถแบบปอนด์ต่อปอนด์ “ฟอร์จูนเนอร์”ยังมีการบ้าน ขณะที่ “เอเวอเรสต์” จะเหนือว่าที่ช่วงล่าง การควบคุม และอารมณ์การขับขี่-ใช้งานรวมๆ ส่วนความคุ้มค่าต้องยกให้ “ปาเจโร สปอร์ต”
ไข่ดิบกับไข่ต้ม ดูข้างนอกไม่รู้นะครับ แต่พอได้เคาะได้ตอก (ลองขับสัมผัสนั่ง) ถึงจะรู้ถึงความต่างว่าข้างในใครแข็งใครเหลว (คุ้มค่าน่าใช้) เปรียบได้กับฟอร์จูนเนอร์กับสองคู่แข่งโฉมใหม่ตอนนี้...คุณผู้อ่านน่าจะตัดสินเองได้ว่ารถรุ่นไหนเป็นไข่ที่ต้มแล้ว!?
อย่างตัวท็อปของทั้ง ฟอร์จูนเนอร์ และ เอเวอเรสต์ น่าจะขยับราคาขึ้นไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาท
ในเมื่อกฎหมายเขาเตรียมบังคับใช้แน่ๆอยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากพีพีวีโฉมใหม่ที่รอคอยเปิดตัวออกมา บวกกับสองรุ่นที่ขายอยู่เดิมคือ “อีซูซุ มิวเอ็กซ์” และ “เชฟโรเลต เทรลเบลเซอร์” ก็ลองเปรียบเทียบข้อมูลแล้วตัดสินใจไปเลยครับ
ส่วนใครยังไม่ได้ลองขับ เดี๋ยวผู้เขียนจะแบ่งปันความรู้สึกคร่าวๆ หลังมีโอกาสได้ทดสอบพีพีวีรุ่นใหม่ครบทั้งสามโมเดล เผื่อจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ
ล่าสุดผู้เขียนลงใต้ไปลองขับ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” (All New Toyota Fortuner) ใช้เส้นทางสุราษฎร์ธานี - ภูเก็ต ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร
การออกแบบตัวรถโฉบเฉี่ยวไฉไล ละทิ้งคราบไคลของปิกอัพ “รีโว่” เสียสิ้น ด้านหน้าก็ดูดี ส่วนด้านหลังเด่นกว่า ต้องบอกว่าออกแบบเก่งครับ เพราะรถพีพีวีหลายรุ่นจะมาตกม้าตายที่รูปโฉมด้านหลัง ที่มักออกแบบขาดๆเกินๆ(เพราะต้องคำนึงหลายอย่าง) แต่สำหรับฟอร์จูนเนอร์ ก้นงามแถมดูสมส่วนลงตัว
ภายในตัวท็อปจะใช้เบาะหนังสีน้ำตาลออกส้ม เหมือนรถยุโรปราคาแพง ซึ่งเบาะสีนี้โตโยต้าเรียกว่าสีครีมชามัวส์ มีเฉพาะรุ่นท็อปเท่านั้น
โดดเด่นด้วยการออกแบบคอนโซลกลาง ที่ใช้หนังสังเคราะห์มาแต้มแต่งในแนวตั้ง ช่วยขับความเด่นของหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว (แสดงระบบต่างๆของรถ) ถัดลงมาเป็นแผงควบคุมแอร์อัตโนมัติ ขณะที่ช่องต่อ USB และ AUX ก็อยู่ใกล้ๆกับปุ่มเลือกระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า (เดิมเป็นคันโยกเล็กๆแบบสายเคเบิ้ลอยู่ใกล้ๆคันเกียร์)
พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมมัลติฟังก์ชัน มองทะลุไปเป็นหน้าจอ TFT แสดงข้อมูลการขับขี่ต่างๆ ขนาบด้วยมาตรวัดความเร็ว(ขวา)และรอบเครื่องยนต์(ซ้าย) เรืองแสงสดใส
…การออกแบบภายในยกระดับขึ้นมาดี พร้อมการเลือกใช้วัสดุคุณภาพ ดูหรูหราน่าสัมผัส
แต่อีกหนึ่งจุดของการเป็นพีพีวีอเนกประสงค์แบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง คือการออกแบบเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งการไปลองนั่งตำแหน่งนี้ ผู้เขียนไม่ชอบอยู่แล้ว(เพราะผู้เขียนตัวใหญ่) นั่งคันไหนอย่างไรก็อึดอัด เพียงแต่ยังสงสัยเรื่องการออกแบบการพับเก็บเบาะ เพราะทั้ง เอเวอเรสต์ ปาเจโร สปอร์ต สามารถพับได้เนี้ยบเรียบกว่าฟอร์จูนเนอร์ ที่ยังคิดง่ายเหมือนเดิมคือพับเกี่ยวเอาไว้ด้านข้าง
…ประเด็นนี้ ถ้าเป็นรุ่นเก่าผู้เขียนยังพอเข้าใจได้ ทว่าเป็นรุ่นใหม่สมัยนี้ ยังจะพับเกี่ยวแล้วแขวน มันดูว่าโตโยต้าใส่ใจรายละเอียดน้อยไปนิด (เอเวอเรสต์นี่กดพับเก็บได้ด้วยการกดปุ่มควบคุมไฟฟ้า)
แต่ฟอร์จูนเนอร์ก็ยังดีอยู่บ้างที่การเปิด-ปิดประตูด้านท้าย เป็นแบบไฟฟ้าแล้วครับ ซึ่งออปชันนี้ เอเวอเรสต์มีเช่นกันแต่ ปาเจโร สปอร์ต ไม่มี
…(ถ้ายังเถียงกันว่า ใช้อุปกรณ์หรือบางฟังก์ชันที่เป็นระบบไฟฟ้า กลัวพังง่ายหรือเดี๋ยวก็พัง สุดแล้วแต่แนวคิดครับ แต่ผู้เขียนเพียงจะบอกว่าอะไรที่เป็นมูลค่ามีราคา ก็ต้องว่ากันตามจริง)
เครื่องยนต์ 1GD-FTV 4 สูบ ขนาด 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,400 รอบต่อนาที เมื่อเทียบกับ 1KD ขนาด 3.0 ลิตรบล็อกเก่า จะเห็นว่าขนาดเครื่องยนต์เล็กลง แต่ให้แรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเคลมว่ากินน้ำมันลดลง 10%
เมื่อส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ถือเป็นการผสานงานที่ลงตัว การส่งผ่านกำลังลงสู่ล้อกระชับ กระฉับกระเฉง ถ้าสังเกตเรี่ยวแรงฉุดดึง ก็จัดมาให้ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 รอบ เซ็ทอัตราทดมาดี ก็ได้ทั้งพลังเต็มพิกัดในรอบเครื่องยนต์ไม่สูง และช่วยให้รถประหยัดน้ำมัน
บนความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุดรอบเครื่องยนต์ก็อยู่แถวๆ 1,800 รอบเท่านั้น เมื่อบวกกับการเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อแบบพาร์ทไทม์ คือโดยปกติหลังสตาร์ทเครื่องยนต์ รถจะขับเคลื่อนสองล้อหลัง 100% ซึ่งต่างจากเดิมที่เป็นแบบฟูลไทม์ ขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา
ดังนั้นพอจะยืนยันได้ว่าด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ย่อมทำให้ ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ (รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ) ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมแน่นอน (ส่วน ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ก็ขับดีสมรรถนะเยี่ยม แต่ตัวท็อป เครื่องยนต์ 5 สูบ 3.2 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบฟูลไทม์ ซดน้ำมันหนักกว่าแน่)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันลองวัดในระยะทาง 100 กิโลเมตร ช่วงขับทางตรงยาวๆ บนเส้นเซาเทิร์น ซีบอร์ด ใช้ความเร็ว เฉลี่ย 120 - 140 กม./ชม. แต่ก็มีช่วงเร่งแรงๆ ระดับเกิน 140 กม./ชม.อยู่บ้าง หน้าจอยังแสดงตัวเลขแถวๆ 12 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 ลิตร กับระบบส่งกำลังแม้จะเป็นแบบ 6 สปีด (ปาเจโร สปอร์ต 8 สปีด) ขับจริงๆผู้เขียนว่า ฉลาดเหลือเฟือ ประสิทธิภาพการส่งกำลังยังเนียนเป็นธรรมชาติ ทันใจ-ทันเท้าผู้ขับขี่
ทั้งนี้ฟอร์จูนเนอร์จะใช้มีปุ่มสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นเหมือนมิตซูบิชิ แต่เอเวอเรสต์ไม่มี ขณะเดียวกันในเกรด V ยังมีระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง(ติดไฟแดง) จากการลองขับผ่านเมืองบางช่วงระบบนี้ทำงานให้เห็นบ่อยครั้ง โดยเครื่องยนต์ดับภายในห้องโดยสารเงียบสนิท แต่แอร์ก็ยังให้ความเย็นอยู่
ขณะที่พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนผ่อนแรงด้วยพาวเวอร์ไฮดรอลิก ให้เสถียรภาพการควบคุมสูง นิ่งในทางตรง และแน่นมือในทางโค้ง ตรงนี้แอบชอบมากกว่า ปาเจโร สปอร์ต อยู่นิดๆ แต่กระนั้นถ้าเทียบกับ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ที่เป็นแบบผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า พีพีวีอเมริกันขับได้คล่องแคล่ว และสบายมือกว่า (ปกติผู้เขียนก็ไม่ชอบพวงมาลัยไฟฟ้า แต่ของเอเวอเรสต์ทำให้การควบคุมรถใหญ่ๆเป็นเรื่องง่าย และรู้สึกมั่นใจจริงๆ)
เช่นเดียวกับช่วงล่างที่สองพีพีวีญี่ปุ่นพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมทั้งลดความกระด้าง แถมให้ความหนึบแน่น แต่เมื่อขับผ่านอุปสรรค หรือเนินกระโดด หลุมบ่อ ยังพอรับรู้อาการ เด้งสะท้านจากพื้นถนนอยู่บ้าง ผิดจากเอเวอเรสต์ ที่ซับแรงสะเทือนต่างๆได้นุ่มเนียนกว่า
ด้านระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัมของฟอร์จูนเนอร์ แม้ประสิทธิภาพไม่ขี้เหร่ ตอบสนองการชะลอหยุดได้อย่างแม่นยำและนุ่มนวล(สัมผัสของเบรกดีกว่ารุ่นเก่า) เพียงแต่ความรู้สึกถึงความห่วงใยมันต่างกับสองคู่แข่ง ที่เขาใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อกันหมดแล้ว
ไหนๆจะทำพีพีวีหรือเอสยูวี เพื่อการเป็นรถยนต์นั่ง(คันโต)ใช้งานอเนกประสงค์แล้ว ก็น่าจะใส่มาเถอะครับไม่ต้องเขียม (เห็นว่าเวอร์ชันส่งออกไปตะวันออกกลาง ฟอร์จูนเนอร์จะใช้ดิสก์เบรกสี่ล้อ) นี่ยังไม่รวมระบบความปลอดภัยขั้นเทพ (ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์)ที่ ปาเจโร สปอร์ต และ เอเวอเรสต์ ใส่มาให้ไม่ยั้ง อีกนะครับ
รวบรัดตัดความ...ชื่อชั้นของแบรนด์และความมั่นใจหลังจากซื้อรถไปแล้ว เป็นสิ่งที่โตโยต้าสั่งสมมานาน หรือยังเหนือกว่าสองคู่แข่งลิบลับ ในส่วนของ“ฟอร์จูนเนอร์” เครื่องยนต์ดีเซล 2.8 กับเกียร์เซ็ทมายอดเยี่ยม รีดสมรรถนะได้โดดเด่น แต่ถ้าเทียบเฉพาะสิ่งที่ให้มากับรถแบบปอนด์ต่อปอนด์ “ฟอร์จูนเนอร์”ยังมีการบ้าน ขณะที่ “เอเวอเรสต์” จะเหนือว่าที่ช่วงล่าง การควบคุม และอารมณ์การขับขี่-ใช้งานรวมๆ ส่วนความคุ้มค่าต้องยกให้ “ปาเจโร สปอร์ต”
ไข่ดิบกับไข่ต้ม ดูข้างนอกไม่รู้นะครับ แต่พอได้เคาะได้ตอก (ลองขับสัมผัสนั่ง) ถึงจะรู้ถึงความต่างว่าข้างในใครแข็งใครเหลว (คุ้มค่าน่าใช้) เปรียบได้กับฟอร์จูนเนอร์กับสองคู่แข่งโฉมใหม่ตอนนี้...คุณผู้อ่านน่าจะตัดสินเองได้ว่ารถรุ่นไหนเป็นไข่ที่ต้มแล้ว!?