xs
xsm
sm
md
lg

“ซูซูกิ เซียส” ขับนุ่ม ใหญ่ คุ้มทุกเมตร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นำมาอวดโฉมให้คนไทยได้เห็นตัวเป็นๆครั้งแรกที่งาน “บางกอก มอเตอร์โชว์ 2015” จากนั้นซูซูกินำตัวแต่งแบบคัสตอมไมซ์ ไปจอดเด่น ดึงดูดความสนใจในงาน “บางกอก ออโต ซาลอน” เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

เรียกกระแส วัดเรตติ้งมาเรื่อยครับ จนสุดท้ายได้ฤกษ์จัดงานเปิดตัวพร้อมขายเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น 4 รุ่นย่อย คือตัวท็อป GLX CVT ราคา 6.25 แสนบาท GL CVT 5.59 แสนบาท GL MT 5.23 แสนบาท และ GA MT 4.84 แสนบาท ซึ่งหลังการเปิดตัวจนถึงวันนี้มียอดจองทั่วประเทศเข้ามากว่า 400 คันแล้ว

“เซียส” (Ciaz) เป็นอีโคคาร์ลำดับที่สามของซูซูกิ (ต่อจากสวิฟท์และเซเลริโอ้) ประกอบที่โรงงานจังหวัดระยองนี่ละครับ เห็นว่าจะผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศก่อนและในอนาคตก็เตรียมการส่งออกไปบางประเทศด้วย

อีโคคาร์ตัวถังซีดานรุ่นนี้ ยังพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกับสวิฟท์(แฮทช์แบ็ก) และวางเครื่องยนต์ K12B ขนาด 1.25 ลิตร (1242 ซีซี) 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผันทั้งฝั่งไอดี-ไอเสีย ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด

สำหรับเกียร์นั้นยกชุดมาจากสวิฟท์ พร้อมเซ็ทอัตราทดเหมือนกัน แต่วิศวกรซูซูกิย้ำว่า CVT ของเซียสถูกปรับ ECU ให้สั่งงานต่างกับสวิฟท์ โดยจะเน้นการส่งกำลังที่นุ่มนวลกว่า


จุดเด่นของเซียส ยังอยู่ที่ขนาดตัวถังครับ เพราะไม่ว่าจะเทียบกับ อีโคคาร์ซีดานรุ่นไหนๆ เซียสก็ยาวกว่าด้วยมิติ 4,490 มม. และระยะฐานล้อ 2,650 มม. ส่วน“นิสสัน อัลเมรา” ที่เคยยาวสุดในคลาส 4,425 มม. ระยะฐานล้อ 2,600 มม. ยังสู้ไม่ได้

ตรงนี้ส่งผลกับพื้นที่ภายในห้องโดยสาร จากการลองนั่งด้านหลัง พบว่าระยะห่างช่วงขากับเบาะหน้า (leg room) เหลือเพียบ ขณะที่ตัวเบาะนั่งเหมือนถูกยกให้สูง ทำให้เข่าไม่ต้องงอมาก ท่านั่งก็สบายขึ้น

ทว่าจะติดขัดก็ตรงมีอุโมงค์ตรงกลางปูดขึ้นมานิด และหมอนรองหัวไม่ได้เป็นแบบแยกส่วน ไม่สามารถปรับระยะสูงต่ำได้(เหมือนสวิฟท์) ทำให้การรองรับไม่พอดีกับหัว ตรงนี้ขัดใจผู้เขียน(สูงเกือบ 180 ซม.) เล็กน้อย


อย่างไรก็ตาม เรื่องของการเก็บเสียงภายในห้องโดยสารถือว่ายอดเยี่ยมอยู่ในระดับต้นๆของอีโคคาร์(เฟส 1) พวกเสียงรบกวนจากการจราจรภายนอก เสียงลมปะทะ และเสียงเครื่องยนต์ (ถ้าไม่เข่นคันเร่งหนักๆ) ก็เล็ดรอดเข้ามาน้อย จะมีเพียงเสียงสะท้านจากพื้นถนนและยางที่แอบเข้ามาให้ได้ยินชัดกว่าจุดอื่นๆ

ในส่วนของล้อทุกรุ่นจะใช้ขนาด 15 นิ้ว โดยรุ่น GA และ GL จะเป็นล้อกระทะ แต่ GL จะแถมฝาครอบล้อมาให้ ส่วนตัวท็อปเป็นล้ออัลลอย ซึ่งทั้งหมดประกบยางบริดจสโตน อีโคเปีย 185/65 R15

ทั้งนี้เซียส ไม่ได้ให้ยางอะไหล่มาด้วย ใครเปิดฝากระโปรงท้าย งัดพื้นขึ้นมาดูก็จะพบเพียงชุดซ่อมยางฉุกเฉิน (Tyre repair kit) ซึ่งซูซูกิน่าจะหวังลดน้ำหนักรวมของรถยนต์ มากกว่าการลดต้นทุนนะครับ(น่าจะมีผลต่อการทดสอบอัตราบริโภคน้ำมัน 20 กม./ลิตร ตามเงื่อนไขอีโคคาร์ไม่มากก็น้อย)

ด้านอุปกรณ์มาตรฐาน(ครบทุกรุ่น)ที่โดดเด่นเห็นชัดมี ชุดไฟหน้าเป็นหลอดฮาโลเจน ควบคุมลำแสงด้วยโปรเจกเตอร์เลนส์ ไฟเบรกดวงที่สาม พร้อมทับทิมสะท้อนแสงที่กันชนหลัง ขณะที่ฝากระโปรงหลัง ควบคุมการเปิดด้วยระบบไฟฟ้า ความปลอดภัยมากับถุงลมนิรภัยคู่หน้า SRS ให้มาครบทุกรุ่นเช่นกัน แต่ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD จะไม่มีให้ในรุ่นเริ่มต้น GA เกียร์ธรรมดา

การขับขี่ผู้เขียนได้รุ่นรองท็อป GL เกียร์ CVT เป็นพาหนะขับไปจากกรุงเทพถึงจังหวัดตราดครับ(สลับกันขับ) เข้ามาก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่ตัวท็อป เพราะพวงมาลัยเป็นวัสดุยูรีเทนเพียวๆไม่ได้รับการหุ้มหนัง และไม่มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียง เช่นเดียวกับระบบปรับอากาศก็เป็นแบบมือหมุน (ตัวท็อปมีทุกอย่างที่กล่าวมา และแอร์เป็นแบบอัตโนมัติ)

ส่วนเบาะนั่งเป็นผ้าทุกรุ่น (แต่ต่อไปต้องมีรุ่นเบาะหนังออกมาแน่ๆ) เน้นสัมผัสของความนุ่มนิ่ม หากขับทางไกลระยะทางเกิน 100 กิโลเมตรอาจจะเริ่มรู้สึกๆไม่ค่อยสบายตัว เช่นเดียวกับคอกพิตของคนขับ หลังปรับท่านั่งให้เหมาะสมแล้วก็ยังดูแน่นๆมีพื้นที่จำกัด ดูขาซ้ายจะเกะกะ เปะปะไปกับคอนโซลอยู่ตลอด




อีกประเด็นที่หลายคนสนใจ และสงสัยว่ารถตัวถังใหญ่ขนาดนี้ วางเครื่องยนต์1.25 ลิตร 91 แรงม้า แล้วจะวิ่งออกหรือ?

....ทริปทดสอบนี้ ผู้เขียนและเพื่อนนักข่าวอีก 3 ท่านที่ตัวใหญ่ๆกันทั้งนั้น นั่งไปด้วยกันพร้อมสัมภาระเต็มอัตราศึก ช่วงออกตัว(เกียร์หนึ่ง) ไปถึงความเร็ว 20-30 กม./ชม. ดูรถก็ขยับขับเคลื่อนดีนะครับ จากนั้นจะรู้สึกอืดนิดๆเมื่อไล่ความเร็วไปถึง 60-70 กม./ชม.(กรณีนี้ผู้เขียนไม่ได้กดคันเร่งแรงหรือเหยียบจนมิด) หากต้องการอัตราเร่งจากการขับในย่านนี้ อาจจะไม่รวดเร็วทันใจนัก

เมื่อวิ่งถนนใหญ่ทางไกลต่างจังหวัด สามารถใช้ความเร็วได้มากขึ้น ระดับ 100-120 กม./ชม. พละกำลังลอยลมไปแล้วการตอบสนองก็ทำได้ดีขึ้นครับ บางช่วงต้องการเร่งแซงก็กดคันเร่งให้จม สั่งเกียร์คิกดาวน์ เครื่องยนต์กระตือรือร้น ผ่านสถานการณ์ไปได้แบบไม่ถึงกับลุ้นเหนื่อย

จะว่าไปนำ้หนักตัวรถของเซียสก็มากกว่าสวิฟท์ประมาณ 10-25 กิโลกรัม(แล้วแต่รุ่น) กับตัวถังขนาดนี้ วิ่งได้เท่านี้ผู้เขียนก็ว่าสมเหตุสมผลแล้วครับ

ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท หลังเป็นคานทอร์ชันบีม พร้อมคอยล์สปริง ขับขี่ทั่วไปรองรับซับพอร์ตอาการต่างๆจากพื้นถนนได้ดี และรู้สึกว่าบุคลิกจะออกแนวนุ่มนวลกว่าสวิฟท์อยู่พอสมควร

...ใครมีโอกาสได้นั่งด้านหน้าหรือเป็นผู้โดยสารด้านหลัง ต่างชื่นชนว่า ช่วงล่างนิ่มเหมือนกันหมด

ส่วนการควบคุมนั้น ด้วยความที่เป็นรถตัวถังยาวใหญ่จึงให้รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.4 เมตร ซึ่งมากที่สุดในคลาส (สวิฟท์ 4.7 เมตร) การขับก็เผื่อเหลือเผื่อขาดระยะเลี้ยวขึ้นมาอีกนิด

เรื่องการสั่งงานผ่านพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียน ขับความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. หรือขับใช้งานในเมืองไม่มีปัญหาครับ แม้รัศมีวงเลี้ยวจะกว้างอย่างที่บอกไป แต่ปัญหาของเซียส อยู่ที่การใช้ความเร็วสูง วิ่งทางไกลต่างจังหวัดขับเกิน 120 กม./ชม. ต้องกำพวงมาลัยแน่น เพิ่มสมาธิขึ้นมาอีกนิด

กล่าวคือการทรงตัวของรถในทางตรงยังรู้สึกมั่นคงครับ เพียงแต่การขับในย่านความเร็ว 100-120 กม./ชม. ยังไม่ค่อยมั่นใจ การบังคับพวงมาลัยยังไม่เนียนนัก

ประเด็นนี้ต้องพิจารณาว่ารถมีตัวถังขนาดใหญ่ ส่วนยางที่ใช้ขนาด 15 นิ้ว หน้ายางแค่ 185 ซึ่งผู้เขียนว่า ถ้าเปลี่ยนเป็นหน้ายาง 195 การควบคุมรถบนความเร็วสูงน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น(หวังว่าต่อไป ซูซูกิจะมีรุ่นที่ใช้ล้อขอบ 16 นิ้ว หรือ หน้ายาง 195 ออกมาเป็นทางเลือก)

ส่วนระบบเบรกที่ติดมากับรถนั่นถือว่ายอดเยี่ยมอยู่แล้ว หน้าดิสก์หลังดรัมเอาอยู่ครับ ด้วยจานดิสก์หน้าขนาด 14 นิ้ว หม้อลมเบรกขนาด 9 นิ้ว สัมผัสของการกดแป้นเบรกกับระยะชะลอหยุดสัมพันธ์ ให้ความมั่นใจสูง

ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน หลังจากตะบี้ขับใช้ความเร็วสูงบนทางหลวง พร้อมคนนั่งเต็มคันรถ ยังเห็นตัวเลข 16 กม./ลิตร สบายๆ

รวบรัดตัดความ...ตัวถังยาวใหญ่น่าจะถูกใจคนไทย ที่ชอบซื้อเผื่อเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย ช่วงล่างเน้นความนุ่มนวลนั่งสบาย การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ทำได้สมเนื้อสมตัว ไม่อืดจนน่าเกลียด ยิ่งขับแบบทั่วไปใช้งานในเมืองถือว่าเพียงพอ ดูๆไปรุ่น GL CVT ราคา 5.59 แสนบาท ที่ผู้เขียนได้ลองขับน่าจะใช้งานดีและคุ้มค่าเงินมากที่สุด
รุ่น GL CVT









ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring

กำลังโหลดความคิดเห็น