เหมือนจะสะเปะสะปะ คละเคล้ากลิ่นความสปอร์ตทั่วไปหมด สำหรับรถยนต์ DNAสปอร์ตของโตโยต้า เพราะถ้าเทียบกับเมื่อก่อนรถยนต์แบบตกแต่งพิเศษหรือลิมิเต็ดเอดิชัน มักจะมีบทบาทในช่วงปลายอายุโมเดลเพื่อกระตุ้นยอดขาย หรือระบายสต๊อกประมาณนั้น
แต่ในยุคใหม่สมัยนี้ โตโยต้าพยายามสร้างภาพลักษณ์ความสปอร์ตให้ชัดเจนมากขึ้น และมีหลากหลายมั่วในรถยนต์ทุกรุ่น ทั้งเวอร์ชันของ TRD Sportivo ที่ปล่อยลงตลาดอย่างรวดเร็วใกล้เคียงกับการเปิดตัวโมเดลใหม่(กรณี วีออส,ยาริส) หรืออย่าง “คัมรี่” ที่เพิ่งไมเนอร์เชนจ์ล่าสุดก็ทำตัวสปอร์ตแต่งพิเศษ Extremo ออกมาขายในไลน์อัพ(ไม่ใช่รุ่นพิเศษอีกแล้ว) ยิ่งไปกว่านั้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังเสริมอีกหนึ่งขั้นสุดอย่าง “คัมรี่ เอสสปอร์ต” (Camry Esport) เข้ามาเป็นทางเลือก
โดยซับเนม “เอสสปอร์ต” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 2014 กับ “โคโรลล่า อัลติส” รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ซึ่งเป็นรุ่นที่อยู่ในไลน์อัพการขาย ถัดมาปีเดียวกก็เสริม“โคโรลล่า อัลติส เอสสปอร์ต นูร์เบอร์กริง เอดิชั่น” เข้ามาอีก
ขณะที่“คัมรี่ เอสสปอร์ต” เป็นน้องใหม่ก็จริง แต่มาในแนวทางที่แปลกกว่าเพื่อน เพราะถูกสั่งนำเข้ามาจากโรงงานโตโยต้าในประเทศออสเตรเลีย (ซึ่งเป็นโรงงานที่โตโยต้ากำลังจะเปิดสายการผลิตในปี 2017)
...งานนี้ต้องเรียกว่าช่วยๆกันครับ เพราะอย่างน้อยการนำเข้า “คัมรี่ เอสสปอร์ต” มาจากออสเตรเลียก็ไม่เสียภาษีนำเข้า ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย
“คัมรี่ เอสสปอร์ต” มาพร้อมแนวคิด "LIFE IS THRILLING" ที่โตโยต้าพยายามสื่อสารว่า เป็นรถยนต์ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ตื่นเต้นและเร้าใจยิ่งกว่าเดิม”
กระจังหน้าโครเมียมรมดำ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำ พร้อม Day Time Running Lights (หลอด LED) ส่วนไฟท้ายและสปอยเลอร์หลังโฉบเฉี่ยวเฉพาะตัว
การตกแต่งภายในเน้นสีแบบทูโทน ทั้งเบาะนั้งและแผงประตูข้าง แต้มแต่งด้วยทริมสีเงินในหลายจุด ขณะที่ชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต พรมปูพื้นพร้อมสัญลักษณ์ Esport ดูหรูหราด้วยหลังคามูนรูฟ ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังยังสามารถแยกพับ 60:40 เพิ่มความอเนกประสงค์ได้อีกด้วย
“คัมรี่ เอสสปอร์ต” ใช้เครื่องยนต์ 2AR-FE ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-i (ที่วางอยู่ในคัมรี่ 2.5G) รีดกำลังได้ 184 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift หลังพวงมาลัย
ส่วนช่วงล่างที่ใช้พื้นฐานแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงในด้านหน้า และหลังแบบอิสระดูอัลลิงค์สตรัท ปรับสปริงให้แข็งขึ้น และจังหวะรีบาวด์ของโช้กก็หนืดกว่ารุ่นปกติ พร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว ประกบยางขนาด 215/55 R17
ขณะที่ปลายท่อไอเสียคู่ก็ไม่ได้ติดมาแค่ขำๆ แต่จริงจังพอสมควรเพราะเมื่อไอเสียผ่านจากแคตตาเลติกแล้ว ก็จะแยกท่อทางเดินออกสองทาง มีหม้อพักซ้าย-ขวา ซึ่งตรงนี้ช่วยให้ได้ม้าเพิ่มขึ้นอีก 3 ตัวเมื่อเทียบกับรุ่น 2.5G (จาก 181 เป็น 184 แรงม้า)
โดยพละกำลังมาเต็มพิกัด จัดหนักอัดแรงได้สมใจ อัตราเร่งในย่านความเร็วต่ำ หรือแซงในระยะกระชั้นชิดทำได้รวดเร็ว ยิ่งความเร็วปลายเกิน 100 กม./ชม.ไปแล้ว ยังส่งให้แบบไม่มีหมด
ด้านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดชุดนี้ จริงๆแล้วจังหวะเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ได้ลากรอบสูงมาก(ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้า) และยังให้จังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลอยู่พอสมควร
ส่วนช่วงล่างจะโดดเด่นเมื่อขับขี่ความเร็วสูง ด้วยการรองรับหนึบแน่น เข้า-ออกโค้งแนบสนิทกับท้องถนน ช่วงผ่านคอสะพานหรือเนินกระโดด จังหวะโยนตัวน้อย(ขึ้นลงทีเดียวอยู่ไม่ออกอาการย้อย) ขณะเดียวกันถ้าขับบนถนนแย่ๆ ทางขรุขระ หลุมบ่อ เนินหลังเต่า ช่วงล่างก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้างจนเกินไป
จะมีเพียงความสปอร์ตเดียวที่อยากให้เพิ่มขึ้นคือ การควบคุมผ่านพวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าที่ยังเบามือไปนิดๆ คล้ายกับอาการตุ๋มติ๋มของ“คัมรี่ เอ็กซ์ทรีโม” ประมาณนั้น
กล่าวคือหน้าตา เรี่ยวแรง ช่วงล่าง นั้นสปอร์ตจริง แต่ความหนึบหน่วงของพวงมาลัยยังน้อยไปนิด การตอบสนองไม่เฉียบขาดตามสมรรถนะและการใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้น
เหนืออื่นใด ใจผู้เขียนอยากให้เสียงท่อและเสียงเครื่องยนต์ดุดันเร้าใจมากกว่านี้ เพราะน่าจะช่วยเติมเต็มอารมณ์การขับขี่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของความปลอดภัย “คัมรี่ เอสสปอร์ต” ใช้ดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ โดยด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกขนาด 16 นิ้ว พร้อมครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังใช้ดิสก์เบรกขนาด 15 นิ้ว พร้อมมาตรฐานอย่าง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
ทั้งยังเสริมด้วยระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ (Rear Cross Traffic Alert) ระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor) ส่งสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้างเมื่อมีรถในจุดอับสายตา และถุงลมนิรภัย 7 จุด (คู่หน้า,ด้านข้าง,ม่านซ้าย-ขวา และป้องกันหัวเข่าฝั่งคนขับ)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันจากการผ่านจราจรหนาแน่นในเมือง และขึ้นทางด่วน ลงพระราม2 มุ่งหน้าชะอำ ใช้ความเร็ว 100-140 กม./ชม. รวมระยะทางไม่ถึง 200 กิโลเมตร เห็นตัวเลขแสดงไว้ 8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
รวบรัดตัดความ....ใครบ่นว่าคัมรี่หน้าไทย(เอเชีย) ไม่สวย คราวนี้โตโยต้าจัดให้แล้วกับโฉมฝรั่ง(อเมริกา,ออสเตรเลีย) แถมยังยกขีดขั้นความสปอร์ตให้กับรถยนต์รุ่นธงของค่ายขึ้นมาอีกพอสมควร (แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นสุด หรือสมรรถนะโหดอะไรมาก) กับค่าตัว 1.639 ล้านบาท ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเกินไปที่จะคบหา เพราะในราคานี้ รถสปอร์ตพันธุ์ดีขับสนุก แทบไม่มีให้เลือกอยู่แล้ว
แต่ในยุคใหม่สมัยนี้ โตโยต้าพยายามสร้างภาพลักษณ์ความสปอร์ตให้ชัดเจนมากขึ้น และมีหลากหลายมั่วในรถยนต์ทุกรุ่น ทั้งเวอร์ชันของ TRD Sportivo ที่ปล่อยลงตลาดอย่างรวดเร็วใกล้เคียงกับการเปิดตัวโมเดลใหม่(กรณี วีออส,ยาริส) หรืออย่าง “คัมรี่” ที่เพิ่งไมเนอร์เชนจ์ล่าสุดก็ทำตัวสปอร์ตแต่งพิเศษ Extremo ออกมาขายในไลน์อัพ(ไม่ใช่รุ่นพิเศษอีกแล้ว) ยิ่งไปกว่านั้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังเสริมอีกหนึ่งขั้นสุดอย่าง “คัมรี่ เอสสปอร์ต” (Camry Esport) เข้ามาเป็นทางเลือก
โดยซับเนม “เอสสปอร์ต” ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 2014 กับ “โคโรลล่า อัลติส” รุ่นเครื่องยนต์ 1.8 ซึ่งเป็นรุ่นที่อยู่ในไลน์อัพการขาย ถัดมาปีเดียวกก็เสริม“โคโรลล่า อัลติส เอสสปอร์ต นูร์เบอร์กริง เอดิชั่น” เข้ามาอีก
ขณะที่“คัมรี่ เอสสปอร์ต” เป็นน้องใหม่ก็จริง แต่มาในแนวทางที่แปลกกว่าเพื่อน เพราะถูกสั่งนำเข้ามาจากโรงงานโตโยต้าในประเทศออสเตรเลีย (ซึ่งเป็นโรงงานที่โตโยต้ากำลังจะเปิดสายการผลิตในปี 2017)
...งานนี้ต้องเรียกว่าช่วยๆกันครับ เพราะอย่างน้อยการนำเข้า “คัมรี่ เอสสปอร์ต” มาจากออสเตรเลียก็ไม่เสียภาษีนำเข้า ตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-ออสเตรเลีย
“คัมรี่ เอสสปอร์ต” มาพร้อมแนวคิด "LIFE IS THRILLING" ที่โตโยต้าพยายามสื่อสารว่า เป็นรถยนต์ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ตื่นเต้นและเร้าใจยิ่งกว่าเดิม”
กระจังหน้าโครเมียมรมดำ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์รมดำ พร้อม Day Time Running Lights (หลอด LED) ส่วนไฟท้ายและสปอยเลอร์หลังโฉบเฉี่ยวเฉพาะตัว
การตกแต่งภายในเน้นสีแบบทูโทน ทั้งเบาะนั้งและแผงประตูข้าง แต้มแต่งด้วยทริมสีเงินในหลายจุด ขณะที่ชุดแป้นเหยียบคันเร่งและเบรกแบบสปอร์ต พรมปูพื้นพร้อมสัญลักษณ์ Esport ดูหรูหราด้วยหลังคามูนรูฟ ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังยังสามารถแยกพับ 60:40 เพิ่มความอเนกประสงค์ได้อีกด้วย
“คัมรี่ เอสสปอร์ต” ใช้เครื่องยนต์ 2AR-FE ขนาด 2.5 ลิตร Dual VVT-i (ที่วางอยู่ในคัมรี่ 2.5G) รีดกำลังได้ 184 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift หลังพวงมาลัย
ส่วนช่วงล่างที่ใช้พื้นฐานแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลงในด้านหน้า และหลังแบบอิสระดูอัลลิงค์สตรัท ปรับสปริงให้แข็งขึ้น และจังหวะรีบาวด์ของโช้กก็หนืดกว่ารุ่นปกติ พร้อมล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว ประกบยางขนาด 215/55 R17
ขณะที่ปลายท่อไอเสียคู่ก็ไม่ได้ติดมาแค่ขำๆ แต่จริงจังพอสมควรเพราะเมื่อไอเสียผ่านจากแคตตาเลติกแล้ว ก็จะแยกท่อทางเดินออกสองทาง มีหม้อพักซ้าย-ขวา ซึ่งตรงนี้ช่วยให้ได้ม้าเพิ่มขึ้นอีก 3 ตัวเมื่อเทียบกับรุ่น 2.5G (จาก 181 เป็น 184 แรงม้า)
โดยพละกำลังมาเต็มพิกัด จัดหนักอัดแรงได้สมใจ อัตราเร่งในย่านความเร็วต่ำ หรือแซงในระยะกระชั้นชิดทำได้รวดเร็ว ยิ่งความเร็วปลายเกิน 100 กม./ชม.ไปแล้ว ยังส่งให้แบบไม่มีหมด
ด้านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดชุดนี้ จริงๆแล้วจังหวะเปลี่ยนเกียร์ก็ไม่ได้ลากรอบสูงมาก(ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้า) และยังให้จังหวะเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลอยู่พอสมควร
ส่วนช่วงล่างจะโดดเด่นเมื่อขับขี่ความเร็วสูง ด้วยการรองรับหนึบแน่น เข้า-ออกโค้งแนบสนิทกับท้องถนน ช่วงผ่านคอสะพานหรือเนินกระโดด จังหวะโยนตัวน้อย(ขึ้นลงทีเดียวอยู่ไม่ออกอาการย้อย) ขณะเดียวกันถ้าขับบนถนนแย่ๆ ทางขรุขระ หลุมบ่อ เนินหลังเต่า ช่วงล่างก็ไม่ถึงกับแข็งกระด้างจนเกินไป
จะมีเพียงความสปอร์ตเดียวที่อยากให้เพิ่มขึ้นคือ การควบคุมผ่านพวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้าที่ยังเบามือไปนิดๆ คล้ายกับอาการตุ๋มติ๋มของ“คัมรี่ เอ็กซ์ทรีโม” ประมาณนั้น
กล่าวคือหน้าตา เรี่ยวแรง ช่วงล่าง นั้นสปอร์ตจริง แต่ความหนึบหน่วงของพวงมาลัยยังน้อยไปนิด การตอบสนองไม่เฉียบขาดตามสมรรถนะและการใช้ความเร็วที่เพิ่มขึ้น
เหนืออื่นใด ใจผู้เขียนอยากให้เสียงท่อและเสียงเครื่องยนต์ดุดันเร้าใจมากกว่านี้ เพราะน่าจะช่วยเติมเต็มอารมณ์การขับขี่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของความปลอดภัย “คัมรี่ เอสสปอร์ต” ใช้ดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ โดยด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกขนาด 16 นิ้ว พร้อมครีบระบายความร้อน ส่วนด้านหลังใช้ดิสก์เบรกขนาด 15 นิ้ว พร้อมมาตรฐานอย่าง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบเสริมแรงเบรก (BA) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC)
ทั้งยังเสริมด้วยระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวด้านหลังรถ (Rear Cross Traffic Alert) ระบบเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Monitor) ส่งสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้างเมื่อมีรถในจุดอับสายตา และถุงลมนิรภัย 7 จุด (คู่หน้า,ด้านข้าง,ม่านซ้าย-ขวา และป้องกันหัวเข่าฝั่งคนขับ)
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันจากการผ่านจราจรหนาแน่นในเมือง และขึ้นทางด่วน ลงพระราม2 มุ่งหน้าชะอำ ใช้ความเร็ว 100-140 กม./ชม. รวมระยะทางไม่ถึง 200 กิโลเมตร เห็นตัวเลขแสดงไว้ 8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 12.5 กิโลเมตรต่อลิตรครับ
รวบรัดตัดความ....ใครบ่นว่าคัมรี่หน้าไทย(เอเชีย) ไม่สวย คราวนี้โตโยต้าจัดให้แล้วกับโฉมฝรั่ง(อเมริกา,ออสเตรเลีย) แถมยังยกขีดขั้นความสปอร์ตให้กับรถยนต์รุ่นธงของค่ายขึ้นมาอีกพอสมควร (แต่ก็ไม่ถึงกับขั้นสุด หรือสมรรถนะโหดอะไรมาก) กับค่าตัว 1.639 ล้านบาท ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงเกินไปที่จะคบหา เพราะในราคานี้ รถสปอร์ตพันธุ์ดีขับสนุก แทบไม่มีให้เลือกอยู่แล้ว