ดูดีกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีครับ สำหรับ บริษัท เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย จำกัด หลังปล่อยเก๋งซับคอมแพกต์ MG3 ลงสู่ตลาด จากปีก่อนรุ่น MG6 เป็นไม้ขีดจุดไฟไม่ติด แต่ปีนี้น้องใหม่ MG3 ขอทำตัวเป็นปืนจุดเตาแก๊สเพิ่มพลังขับเคลื่อนธุรกิจเอง
หากนับยอดขายMG3 หลังเริ่มส่งมอบรถให้ลูกค้าได้ในเดือนเมษายน จนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา(รวม 3 เดือน) ก็ทำได้เกิน 600 คันแล้ว ซึ่งถือว่ากระแสดีเกินคาด ขณะเดียวกันยังมียอดค้างส่งมอบอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะรุ่นตัวถังสีทูโทนเนื่องจากเอ็มจีไม่ได้คิดราคาเพิ่มไปกว่าสีปกติ (ขาว,เทา,ดำ)
คิดง่ายๆว่า 600 คันแบ่งเป็นสัดส่วนขายรุ่นครอส (Xross ที่ออกแนวเอสยูวี มาพร้อมชุดแต่งรอบคันและราวหลังคา) 25% ขณะที่รุ่นแฮทช์แบ็ก 75% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสีทูโทนมากกว่า 80%
MG3 มากับแนวคิดความสนุก (FUN) ตัวถังสีทูโทนมีให้เลือก 3 แบบคือ ตัวถังสีเหลืองหลังคาสีดำ (Tudor Yellow – Black Top) ตัวถังสีแดงหลังคาสีขาว (Regal Red – White Top) และตัวถังสีฟ้าหลังคาสีขาว (Thames Blue – White Top) พร้อมแถมฟรี (ถ้าลูกค้าต้องการ) กับสติกเกอร์ตกแต่งหลังคา 5 สไตล์ ได้แก่ Scottish Kilt , Brit Pop, MOD, Union Jack และ London Tube รวมทั้งฝาครอบกระจกมองข้าง 4 สี
…ดูๆไปสีสันความจี๊ดจ๊าดก็เหมือน“มินิ” และมีออปชัน“คัสตอมไมซ์” เลือกการตกแต่งเพิ่มเติมในแบบที่ตนเองต้องการได้
เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย พยายามดึงจุดเด่นที่แตกต่างนำมาเป็นจุดขาย โดยเน้นไปที่ความสดชื่นสนุกสนานจากรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกันโจทย์ใหญ่ที่ถูกบังคับมาจากตัวรถและเทคโนโลยีนั่นคือ เกียร์แบบ “เซเลเมติก” 5 สปีด ที่ผู้เขียนเคยอธิบายไว้ในบททดสอบก่อนการเปิดตัวว่า เป็นเกียร์แบบ AMT หรือ Auto-Manual Transmission ที่มีโครงสร้างแบบเกียร์ธรรมดา ใช้คลัทช์ทำหน้าที่เชื่อมต่อและตัดการส่งกำลัง เพียงแต่เกียร์ชุดนี้จะเป็นคลัทช์ไฟฟ้า มีECU คอยควบคุมชุดไฮดรอลิกและโซลินอยด์ในการปล่อยหรือจับคลัทช์ เพื่อช่วยให้เราไม่ต้องใช้เท้าเหยียบคลัทช์เอง
ขับสบายเหมือนเกียร์อัตโนมัติ เพราะมีสมองกลคิดให้ในการเปลี่ยนเกียร์ แต่ด้วยลักษณะและโครงสร้างการทำงานแบบเกียร์ธรรมดา ทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่ค่อยนุ่มนวล เมื่อขับขี่จะรู้สึกถึงอาการหน่วงดึง(เหมือนตอนเหยียบคลัทช์เปลี่ยนเกียร์) ซึ่งต่างกับพวกเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT หรือเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ทั่วไปที่จะให้การส่งกำลังราบรื่นกว่า
ที่เกริ่นเรื่องเกียร์มาย้ำ เพื่อทำความเข้าใจว่านี่เป็นลักษณะทางกายภาพของระบบส่งกำลังแบบ AMT ซึ่งเอ็มจีก็เข้าใจถึงความต่างของบุคลิกเกียร์ชุดนี้เป็นอย่างดี จึงพยายามสื่อสารถึงความสปอร์ตของรถ สอดคล้องกับแนวคิด FUN ในภาพรวม
...FUN ทั้งภายนอกและFUN ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ว่ากันอย่างนั้น
การขับขี่ทั่วไปให้เกียร์เปลี่ยนเอง รับรู้ถึงจังหวะหน่วง ช่วงเวลาถูกดึงอยู่นิดๆครับ ยิ่งใครกดคันเร่งหนักๆ หวังเพิ่มความเร็ว เมื่อเจอจังหวะเปลี่ยนเกียร์แบบนี้อาจจะตะหงิดใจเล็กน้อย
ลองปรับตัวทำความคุ้นชินดูสักระยะ หรือตัดสินใจผลักคันเกียร์กลับไปทางซ้ายอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนให้เป็นโหมดแมนวล เลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองเสียเลย ก็เหมือนขับรถสปอร์ต ที่เราสามารถควบคุม สั่งงานได้เองครับ
อย่างไรก็ตามเกียร์ชุดนี้ยังมีความสามารถนอกเหนือไปจากการเล่นเปลี่ยนเกียร์เอง นั้นคือ ผู้ขับยังเลือกโหมดได้ว่าจะเป็นแบบสปอร์ต ที่ตำแหน่งเกียร์จะเน้นลากรอบให้สูงขึ้น (อาจจะเปลี่ยนเกียร์ให้แถวๆ 3,000-4,000 รอบ) และมีโหมดวินเตอร์ ช่วยเรื่องการออกตัวบนถนนลื่น เพราะรถจะออกตัวเบาๆด้วย เกียร์2 เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี
ส่วนประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,500 รองต่อนาที เรี่ยวแรงยังดีอยู่ครับ เพียงพอต่อการใช้งานจริง ยิ่งใครอยู่ในโหมดเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง การตอบสนองจะคล่องแคล่วทันใจเพิ่มขึ้น
สำหรับอัตราบริโภคน้ำมันจากขุมพลังชุดนี้ โดยการทดสอบเริ่มจากกรุงเทพ(ย่านสาธร) มุ่งหน้าอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผ่านการจราจรหนาแน่น และขับบนมอเตอร์เวย์ใช้ความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. สุดท้ายหน้าจอแสดงผลประมาณ 8 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 12.5 กม./ลิตร
ขณะที่พวงมาลัยพาวเวอร์ อาจจะหนักมือไปนิดเมื่อเทียบกับรถซับคอมแพกต์แฮทช์แบ็กจากญี่ปุ่น ช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานทอร์ชันบีมแบบ H-Type ประกบล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว และยาง Maxxis 185/65R15 ออกแนวหนึบแน่น ให้ความมั่นใจในการขับขี่ความเร็วสูง ส่วนการรองรับทั่วไปยังแอบมีอาการสะเทือนจากพื้นถนนเข้ามาอยู่บ้าง
MG3 นับเป็นซับคอมแพต์ที่ใส่ออปชันมาให้ไม่ยั้งโดยเฉพาะความปลอดภัยครับ ไล่ตั้งแต่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS - Traction Control System) ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC – Electronic Stability Control) ระบบการช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS - Hill-Start Assist System) ระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD Electronic Brake – Force Distribution) โครงสร้างตัวถังนิรภัย (USD - Ultimate Stiffness Design) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti – Lock Braking System) และ ระบบเสริมแรงเบรก (BA – Brake Assist) และระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้มาครบในทุกรุ่นย่อยนะครับ
รวบรัดตัดความ...MG3 อาจจะไม่ใช่รถสมรรถนะดีที่สุดในคลาส แต่ถ้าถามเรื่องความโดดเด่น บนความคุ้มค่านั้นมีให้แน่นอน บุคลิกเอนเอียงไปที่ความสปอร์ตทั้งช่วงล่าง การควบคุม ระบบส่งกำลังแบบ Auto-Manual Transmission ไม่ผิดอะไรที่บริษัท เอ็มจีเซลส์ ประเทศไทย จะพยายามเปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นเน้นความสนุกสนาน สอดคล้องตามคอนเซปต์รถโดยรวม “FUN” เพียงแต่ว่าตลาดเมืองไทย ลูกค้าส่วนใหญ่ยังนิยมรถที่ให้ความนุ่ม เน้นความสบาย “Comfort” มากกว่าเท่านั้นเอง
ราคา MG3
หากนับยอดขายMG3 หลังเริ่มส่งมอบรถให้ลูกค้าได้ในเดือนเมษายน จนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา(รวม 3 เดือน) ก็ทำได้เกิน 600 คันแล้ว ซึ่งถือว่ากระแสดีเกินคาด ขณะเดียวกันยังมียอดค้างส่งมอบอีกจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะรุ่นตัวถังสีทูโทนเนื่องจากเอ็มจีไม่ได้คิดราคาเพิ่มไปกว่าสีปกติ (ขาว,เทา,ดำ)
คิดง่ายๆว่า 600 คันแบ่งเป็นสัดส่วนขายรุ่นครอส (Xross ที่ออกแนวเอสยูวี มาพร้อมชุดแต่งรอบคันและราวหลังคา) 25% ขณะที่รุ่นแฮทช์แบ็ก 75% ซึ่งในจำนวนนี้เป็นสีทูโทนมากกว่า 80%
MG3 มากับแนวคิดความสนุก (FUN) ตัวถังสีทูโทนมีให้เลือก 3 แบบคือ ตัวถังสีเหลืองหลังคาสีดำ (Tudor Yellow – Black Top) ตัวถังสีแดงหลังคาสีขาว (Regal Red – White Top) และตัวถังสีฟ้าหลังคาสีขาว (Thames Blue – White Top) พร้อมแถมฟรี (ถ้าลูกค้าต้องการ) กับสติกเกอร์ตกแต่งหลังคา 5 สไตล์ ได้แก่ Scottish Kilt , Brit Pop, MOD, Union Jack และ London Tube รวมทั้งฝาครอบกระจกมองข้าง 4 สี
…ดูๆไปสีสันความจี๊ดจ๊าดก็เหมือน“มินิ” และมีออปชัน“คัสตอมไมซ์” เลือกการตกแต่งเพิ่มเติมในแบบที่ตนเองต้องการได้
เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย พยายามดึงจุดเด่นที่แตกต่างนำมาเป็นจุดขาย โดยเน้นไปที่ความสดชื่นสนุกสนานจากรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกันโจทย์ใหญ่ที่ถูกบังคับมาจากตัวรถและเทคโนโลยีนั่นคือ เกียร์แบบ “เซเลเมติก” 5 สปีด ที่ผู้เขียนเคยอธิบายไว้ในบททดสอบก่อนการเปิดตัวว่า เป็นเกียร์แบบ AMT หรือ Auto-Manual Transmission ที่มีโครงสร้างแบบเกียร์ธรรมดา ใช้คลัทช์ทำหน้าที่เชื่อมต่อและตัดการส่งกำลัง เพียงแต่เกียร์ชุดนี้จะเป็นคลัทช์ไฟฟ้า มีECU คอยควบคุมชุดไฮดรอลิกและโซลินอยด์ในการปล่อยหรือจับคลัทช์ เพื่อช่วยให้เราไม่ต้องใช้เท้าเหยียบคลัทช์เอง
ขับสบายเหมือนเกียร์อัตโนมัติ เพราะมีสมองกลคิดให้ในการเปลี่ยนเกียร์ แต่ด้วยลักษณะและโครงสร้างการทำงานแบบเกียร์ธรรมดา ทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไม่ค่อยนุ่มนวล เมื่อขับขี่จะรู้สึกถึงอาการหน่วงดึง(เหมือนตอนเหยียบคลัทช์เปลี่ยนเกียร์) ซึ่งต่างกับพวกเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT หรือเกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ทั่วไปที่จะให้การส่งกำลังราบรื่นกว่า
ที่เกริ่นเรื่องเกียร์มาย้ำ เพื่อทำความเข้าใจว่านี่เป็นลักษณะทางกายภาพของระบบส่งกำลังแบบ AMT ซึ่งเอ็มจีก็เข้าใจถึงความต่างของบุคลิกเกียร์ชุดนี้เป็นอย่างดี จึงพยายามสื่อสารถึงความสปอร์ตของรถ สอดคล้องกับแนวคิด FUN ในภาพรวม
...FUN ทั้งภายนอกและFUN ทั้งสมรรถนะการขับขี่ ว่ากันอย่างนั้น
การขับขี่ทั่วไปให้เกียร์เปลี่ยนเอง รับรู้ถึงจังหวะหน่วง ช่วงเวลาถูกดึงอยู่นิดๆครับ ยิ่งใครกดคันเร่งหนักๆ หวังเพิ่มความเร็ว เมื่อเจอจังหวะเปลี่ยนเกียร์แบบนี้อาจจะตะหงิดใจเล็กน้อย
ลองปรับตัวทำความคุ้นชินดูสักระยะ หรือตัดสินใจผลักคันเกียร์กลับไปทางซ้ายอีกครั้งเพื่อเปลี่ยนให้เป็นโหมดแมนวล เลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเองเสียเลย ก็เหมือนขับรถสปอร์ต ที่เราสามารถควบคุม สั่งงานได้เองครับ
อย่างไรก็ตามเกียร์ชุดนี้ยังมีความสามารถนอกเหนือไปจากการเล่นเปลี่ยนเกียร์เอง นั้นคือ ผู้ขับยังเลือกโหมดได้ว่าจะเป็นแบบสปอร์ต ที่ตำแหน่งเกียร์จะเน้นลากรอบให้สูงขึ้น (อาจจะเปลี่ยนเกียร์ให้แถวๆ 3,000-4,000 รอบ) และมีโหมดวินเตอร์ ช่วยเรื่องการออกตัวบนถนนลื่น เพราะรถจะออกตัวเบาๆด้วย เกียร์2 เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี
ส่วนประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,500 รองต่อนาที เรี่ยวแรงยังดีอยู่ครับ เพียงพอต่อการใช้งานจริง ยิ่งใครอยู่ในโหมดเล่นเปลี่ยนเกียร์ด้วยตัวเอง การตอบสนองจะคล่องแคล่วทันใจเพิ่มขึ้น
สำหรับอัตราบริโภคน้ำมันจากขุมพลังชุดนี้ โดยการทดสอบเริ่มจากกรุงเทพ(ย่านสาธร) มุ่งหน้าอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ผ่านการจราจรหนาแน่น และขับบนมอเตอร์เวย์ใช้ความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. สุดท้ายหน้าจอแสดงผลประมาณ 8 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 12.5 กม./ลิตร
ขณะที่พวงมาลัยพาวเวอร์ อาจจะหนักมือไปนิดเมื่อเทียบกับรถซับคอมแพกต์แฮทช์แบ็กจากญี่ปุ่น ช่วงล่างหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานทอร์ชันบีมแบบ H-Type ประกบล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว และยาง Maxxis 185/65R15 ออกแนวหนึบแน่น ให้ความมั่นใจในการขับขี่ความเร็วสูง ส่วนการรองรับทั่วไปยังแอบมีอาการสะเทือนจากพื้นถนนเข้ามาอยู่บ้าง
MG3 นับเป็นซับคอมแพต์ที่ใส่ออปชันมาให้ไม่ยั้งโดยเฉพาะความปลอดภัยครับ ไล่ตั้งแต่ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (TCS - Traction Control System) ระบบควบคุมการทรงตัว (ESC – Electronic Stability Control) ระบบการช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS - Hill-Start Assist System) ระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD Electronic Brake – Force Distribution) โครงสร้างตัวถังนิรภัย (USD - Ultimate Stiffness Design) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti – Lock Braking System) และ ระบบเสริมแรงเบรก (BA – Brake Assist) และระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้มาครบในทุกรุ่นย่อยนะครับ
รวบรัดตัดความ...MG3 อาจจะไม่ใช่รถสมรรถนะดีที่สุดในคลาส แต่ถ้าถามเรื่องความโดดเด่น บนความคุ้มค่านั้นมีให้แน่นอน บุคลิกเอนเอียงไปที่ความสปอร์ตทั้งช่วงล่าง การควบคุม ระบบส่งกำลังแบบ Auto-Manual Transmission ไม่ผิดอะไรที่บริษัท เอ็มจีเซลส์ ประเทศไทย จะพยายามเปลี่ยนจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นเน้นความสนุกสนาน สอดคล้องตามคอนเซปต์รถโดยรวม “FUN” เพียงแต่ว่าตลาดเมืองไทย ลูกค้าส่วนใหญ่ยังนิยมรถที่ให้ความนุ่ม เน้นความสบาย “Comfort” มากกว่าเท่านั้นเอง
ราคา MG3
| รุ่น | ราคา(บาท) |
| Hatchback C | 479,000 |
| Hatchback D | 509,000 |
| Hatchback X | 559,000 |
| Xross X | 595,000 |
