xs
xsm
sm
md
lg

Test Drive : Lexus ES 300h Minor Change ไฮบริดพันธุ์นุ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ถือเป็นรถยนต์รุ่นขายดีของเลกซัสในอเมริกาเขาละครับ สำหรับ“อีเอส” แม้ว่าในเจเนอเรชันก่อนๆจะผลิตแต่พวงมาลัยซ้าย เรียกว่าขายแค่สหรัฐอเมริกากับจีนก็หมดแล้ว ส่วนประเทศที่ใช้พวงมาลัยขวาก็รอไปก่อน

อย่างไรก็ตามในเมื่อโตโยต้าต้องการสร้างแบรนด์และขยายฐานลูกค้าในหลายประเทศ(และมีความต้องการด้วย) จึงตัดสินใจทำ อีเอส พวงมาลัยขวาออกมาขายในเจเนอเรชันที่ 6 นี้


โฉมใหม่เจเนอเรชันที่ 6 เปิดตัวในตลาดโลกเมื่อ 3 ปี ก่อน ขณะที่โฉมไมเนอร์เชนจ์ถูกเปิดตัวที่งานเซียงไฮ้ ออโต้โชว์ 2015 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ส่วนเมืองไทย โตโยต้าก็รีบจัดแจงนำเข้ามาทำตลาดทันทีกับรุ่น ES 300h ไฮบริด

ในอเมริกาหรือเมืองจีนอาจจะเน้นรุ่นเครื่องยนต์เบนซินเป็นหลัก แต่สำหรับเมืองไทยถ้าจะทำราคาให้แข่งขันได้ก็ต้องรุ่นไฮบริด โดยเปิดราคาไว้ 3.5 ล้านบาทในรุ่น Luxury และ 3.97 ล้านบาทในรุ่น Premium ซึ่งเป็นรุ่นที่ผู้เขียนได้นำมาลองขับ

การเปลี่ยนแปลงในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ อยู่ที่การออกแบบกันชนหน้าและกระจังหน้าใหม่ ไฟใหญ่ใช้หลอด LED ควบคุมลำแสงด้วยโปรเจกเตอร์เลนส์ ทั้งยังโดดเด่นด้วยไฟแบบ Day Time เรียงหลอด LED เป็นรูปลูกศร ด้านท้ายปรับการออกแบบของกันชน และรายละเอียดในโคมไฟ เช่นเดียวกับล้ออัลลอย 17 นิ้วลายใหม่

ภายในออกแบบหรูหรา เลือกใช้วัสดุคุณภาพดี ดูละเอียดละเมียดละไม ที่เห็นเด่นๆอย่าง นาฬิกา LED แบบอนาล็อก (แบบเข็ม) พวงมาลัยลายไม้เมเปิ้ลพร้อมปุ่มควบคุมระบบต่างๆ รวมถึง Remote Touch Interface ใช้งานแบบเม้าส์คอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมการสั่งงานของฟังก์ชันต่างๆภายในรถ โดยแสดงผลที่หน้าจอสีขนาด 8 นิ้ว



ด้านจอแสดงผลหลังพวงมาลัยก็โดดเด่น เน้นไปที่การแสดงผลการทำงานต่างๆ ของรถยนต์ในขณะนั้น พร้อมระบบปรับสภาพอากาศแบบอิสระ 3 โซน ช่วยควบคุมระบบอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร แยกของผู้ขับ ผู้โดยสารด้านหน้า และบริเวณที่พักวางแขนตรงกลางด้านหลัง

เลกซัส อีเอส ยังเน้นที่ความสะดวกสบายของผู้โดยสารด้านหลัง ด้วยการออกแบบเบาะนั่งด้านหน้าให้บางลงเพื่อขยายพื้นที่เลกรูมด้านหลัง พร้อมจัดไฟส่องสว่างแบบ LED บริเวณพื้นที่วางขา เพื่อความสะดวกสบายในการขึ้นลง มีช่องแอร์หลังที่ควบคุมอุณภูมิเองได้ ขณะที่ม่านบังแดดแบบไฟฟ้าด้านหลังจะลดระดับอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง 


ในรุ่นท็อปยังเพิ่ม ระบบเตือนเมื่อมีรถด้านหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ในขณะถอยรถ หากมีรถอยู่ด้านหลัง ระบบจะส่งสัญญาณเตือน ด้วยเสียง และสัญลักษณ์บนกระจกมองข้างด้านนั้นๆ และระบบช่วยเปลี่ยนเลน พร้อมสัญญาณเตือนมุมอับสายตา (Lane Change Assist + BSM) ซึ่งระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่กระจกมองข้าง เมื่อตรวจพบว่ามีรถอยู่เลนข้างๆ หรือมุมอับ เหมือนในรถยนต์ดีๆสมัยใหม่ที่เขาใส่มาให้กัน

ความตั้งใจต่างๆของเลกซัส สะท้อนถึงการใช้งานจริงที่เน้นให้ผู้ขับและผู้โดยสารสะดวกสบายสูงสุด พร้อมอารมณ์ที่เหนือระดับจากการตกแต่ง และออปชันต่างๆ (เว้นแต่ Remote Touch Interface ที่ผู้เขียนใช้ไม่คล่องมือสักที) การออกแบบเบาะนั่งด้านหลัง นุ่มแน่นสัมผัสสบายตัวจริงๆ พื้นที่ยืดขาก็เหลือกว้างๆตามที่คุย

บวกกับความเงียบภายในห้องโดยสารระดับสุดยอด พวกเสียงการจราจรจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาน้อย เช่นเดียวกับเสียงสะท้อนจากพื้นถนน แทบไม่ระคายหู ส่วนการรองรับแรงสะเทือนจากพื้นถนน เลกซัส อีเอส จัดการได้ดีเมื่อผ่านสภาพถนนแย่ๆ นั่งเพลินๆแอร์เย็นๆ เครื่องเสียงใสแจ๋ว ก็หลับได้ง่ายๆ


ซีดานหรูขนาดกลางขับเคลื่อนล้อหน้ารุ่นนี้ ใช้ระบบขับเคลื่อนไฮบริดชุดเดียวกับ “คัมรี่ ไฮบริด” นี่ละครับ โดยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ 2.5 ลิตร VVT-i 160 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 143 แรงม้า เมื่อผสานการทำงานร่วมกันสามารถรีดกำลังได้สูงสุด 205 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT เห็นว่าทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ได้ 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม.

เลกซัส อีเอส เป็นรถขับง่าย พวงมาลัยอาจจะเบามือไปสักนิด ช่วงล่างเน้นนุ่ม อัตราเร่งในโหมด Normal ก็ตอบสนองการขับขี่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณอยากรีดเค้นความสปอร์ต ก็ใช้มือซ้ายหมุนปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ไปทางขวามือ ทีนี้น่าจะช่วยปลุกความเป็นชายในตัวคุณได้มากขึ้น

กล่าวคือในโหมดปกติ ขุมพลังชุดนี้ก็ทำงานดีอยู่แล้วครับ เพียงแต่ช่วงล่างหรือพวงมาลัยอาจจะดูตุ๋มติ๋มไปนิด แต่ถ้าเลือกใช้โหมดสปอร์ต นอกจากหน้าจอแสดงผลหลังพวงมาลัย (วงซ้ายมือ) ก็จะเปลี่ยนเป็นการวัดรอบ พวงมาลัยจะหนืดหน่วงขึ้นมาอีกนิด พร้อมๆกับการต้านเท้าของคันเร่งและเบรก สอดคล้องกับขุมพลังไฮบริดที่จัดเต็มเข้มข้น กลายเป็นรถสองบุคลิกไปเลย

ระบบไฮบริดของเลกซัส อีเอส ก็เหมือนๆกับที่เราคุ้นเคยในโตโยต้าครับ คือหลังสตาร์ท ออกตัวด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า จากนั้นเมื่อเร่งความเร็วขึ้นไป เครื่องยนต์เบนซินกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะผสานการทำงานกันอย่างสุภาพ ขณะเดียวกันยังมีโหมด EV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆได้ในระยะทางสั้นๆ ใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.

ทั้งนี้ด้วยราคาขายที่เปิดมา ท้าชนเต็มๆกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี300 ไฮบริด ที่ดันมาขึ้นไลน์ผลิตในประเทศเสียด้วยจึงทำราคาได้น่าสนใจที่ 3.79 ล้านบาท และ 4.19 ล้านบาท

โดยบุคลิกของ อี300 ไฮบริด ที่ใช้เทอร์โบดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมขับเคลื่อน ดูจะดุดัน และกระด้างกว่า อีเอส 300เอช ที่ออกแนวนุ่มเนียน ละเมียดละไม

ส่วนอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ย เลกซัสเคลมไว้ 21.8 กม./ลิตร ส่วนอี300 ไฮบริด แจ้งไว้ประมาณ 24 กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ...ไม่ต้องแข็งกร้าวเหมือนพวกเยอรมัน เลกซัสต้องพยายามหาสไตล์การขับขี่เป็นของตัวเอง ซึ่งอีเอส 300เอช สะท้อนภาพลักษณ์ของความหรูที่นุ่มนวล (อยากได้ดุกว่าก็มี จีเอส ที่ขับเคลื่อนล้อหลัง) การควบคุมสบาย นั่งหลังเพลินๆ ส่วนขุมพลังไฮบริดตอบสนองการขับขี่ได้แบบเนียนๆ พร้อมจัดจ้านขึ้นด้วยโหมดสปอร์ตเลือกได้ตามชอบ...งานละเอียดแบบนี้ต้องมีคนชอบแน่นนอน










กำลังโหลดความคิดเห็น