xs
xsm
sm
md
lg

คุยกับ3เยาวชนไทย:สิ่งที่ได้จากATC 2015

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เรียกได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ สำหรับผลงานของนักบิดไทยในรายการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ “เอเชีย ทาเลนท์ คัพ 2015” (Asia Talent Cup หรือ ATC 2015) หากวัดจากความสำเร็จเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะการสร้างเซอร์ไพร์สซิ่งติดอันดับขึ้นโพเดี้ยมได้ในสองสนามแรกของฤดูกาล

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคืออะไร มาฟังคำตอบจากนักแข่งไทยรุ่นเยาว์ทั้ง 3 คน พร้อมกับเป้าหมายความคาดหวังและสิ่งที่พวกเขาได้รับจากเวทีเฟ้นหาเจ้าความเร็วแห่งทวีปเอเชียรายการนี้
ชิพ-นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร
เริ่มจาก “ชิพ-นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร” หนุ่มนักซิ่งวัย 19 ปี ผู้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นปีที่สอง ซึ่งแม้เจ้าตัวจะยอมรับว่าทำผลงานน่าผิดหวัง และไม่เคยขึ้นโพเดี้ยมเลยในปีแรก แต่ในปีนี้เขาพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม พร้อมกับการลบฝันร้ายได้โดยสมบูรณ์แบบ ด้วยการคว้าแชมป์เรซที่สองในบ้านเกิดที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์

“ปีก่อนผมเพิ่งเคยมาจับรถรุ่นนี้ครั้งแรก อีกอย่างประสบการณ์ยังด้อยกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะนักบิดจากประเทศญี่ปุ่น เพราะเขามีการวางรากฐานกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่มีมานานกว่าบ้านเรา ส่วนปีนี้ผมตั้งใจอย่างมากและมีการเตรียมตัวเพิ่มขึ้น ทั้งเสริมทักษะการขี่และดูเทปความผิดพลาดจากปีที่แล้ว รวมถึงก่อนเปิดฤดูกาล ต้นสังกัดของผมคือฮอนด้าก็นำเทรนเนอร์จากญี่ปุ่นมาติวเข้มกันด้วย ซึ่งมีส่วนทำให้ผลงานเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

นักบิดจากขอนแก่นเผยต่อว่า ด้านเป้าหมายทุกคนคงมุ่งไปที่การคว้าแชมป์ในทุกเรซการแข่งขัน แต่สำหรับเขาเพื่อไม่ให้กดดันตัวเอง และเป็นการมองโลกในแง่บวกมากขึ้น ตอนนี้ขอเก็บคะแนนให้ได้สม่ำเสมอในทุกสนามก็พอ

ขณะที่สิ่งที่ได้จากการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในรายการแข่งขันเอเชีย ทาเลนท์ คัพ ชิพให้คำตอบว่าเป็นเวทีที่ให้โอกาสแสดงความสามารถ และมีประโยชน์สำหรับผู้ตั้งเป้าหมายสู่อาชีพนักบิดทุกคน อีกทั้งเป็นประสบการณ์ที่ตีเป็นมูลค่าไม่ได้กับการเรียนรู้ทักษะการแข่งขันจากหัวหน้าโปรเจกต์ ATC “อัลเบอร์โต้ พุค” (Alberto Puig) หรือผู้ที่เคยดูแลนักแข่งระดับโลกอย่างเคซีย์ สโตนเนอร์ (Casey Stoner) และดานี่ เปโดรซ่า (Dani Pedrosa) มาแล้ว

“ผมเชื่อว่ารายการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการได้เป็นนักแข่งอาชีพ เพราะได้ยินจากบอส (อัลเบอร์โต้ พุค) เขาบอกว่าขอให้ทุกคนตั้งใจทำผลงานให้ดี ตอนนี้มีทีมระดับโมโตทรีกำลังจับตาที่จะดึงตัวนักแข่งดาวรุ่งจากเชลล์ไปร่วมสังกัดอยู่หลายทีมเหมือนกัน”
ก้อง-สมเกียรติ จันทรา
มาที่เด็กไทยคนที่สองกันบ้าง สำหรับ “ก้อง-สมเกียรติ จันทรา” กับการเข้าแข่งขันเป็นปีที่สองเช่นกัน และทำผลงานได้ไม่แตกต่างกับนครินทร์ในปีก่อน ด้วยความที่ประสบการณ์ยังน้อยบวกกับความกดดันในเวทีระดับนานาชาติครั้งแรก อย่างไรก็ตามในปีนี้ดาวรุ่งจากเมืองพัทยากลับระเบิดฟอร์มได้อย่างโดดเด่น หลังประเดิมคว้าแชมป์ในเรซแรกที่สนามบุรีรัมย์ และต่อเนื่องสนามสองที่กาตาร์ ด้วยการซิ่งติดอันดับขึ้นโพเดี้ยมได้ทั้ง 2 เรซ

“ความเปลี่ยนแปลงจากปีก่อน เด็กไทยไม่เคยติดหนึ่งในสามเลย ผมว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความตื่นเต้นและกดดันในการแข่งขันต่างประเทศ ส่วนตัวผมเองปีนี้มีการพัฒนาด้านความฟิตของร่างกายมากขึ้น เพื่อให้สามารถมีแรงควบคุมรถได้อย่างสมบูรณ์ตลอดการแข่งขัน ซึ่งที่ทำอยู่ตลอดก็คือการวิ่ง ว่ายน้ำ และเข้าฟิตเนส” ดาวรุ่งวัย 16 ปี เผยพัฒนาการและเล่าต่อว่า

“ที่สำคัญทีมงานเซตรถมีการปรับช่วงตัวรถให้เข้ากับรูปร่างและท่าทางการขี่ของผมมากขึ้น โดยเฉพาะแฮนด์ที่เห็นพวกทีมโมโตทรีเขาใช้แฮนด์กว้าง ผมก็ลองนำมาปรับใช้บ้างในปีนี้ และรู้สึกว่าขี่ดีขึ้น คุมรถได้ดีขึ้นด้วย”

หลังผ่านไปสองสนามแม้จะทำผลงานได้ตามเป้า สามารถเก็บคะแนนสะสมได้ 61 แต้ม รั้งอันดับสอง ตามหลังนักแข่งญี่ปุ่น อายูมุ ซาซากิ ในอันดับหนึ่งที่มี 76 แต้ม แต่นักบิดจากเมืองพัทยาก็ยังบอกว่าต้องมุ่งพัฒนาทักษะการขี่ และแก้ไขข้อผิดพลาดทุกจุดสำหรับการแข่งขันในทุกสนามที่เหลือ

“หากเป้าหมายยังหวังติดหนึ่งในสามทุกสนาม ผมต้องปรับปรุงตัวเอง อย่างด้านสมาธิยังมีหลุดไปบางช่วง ต่อไปนี้ต้องตั้งใจมากขึ้น ส่วนการขี่ยังต้องเพิ่มความสมูทของการคุมคันเร่ง เพราะที่ผ่านมารู้ตัวเลยว่ารีบร้อนเกินไป”
บู-สิทธิพร ศรีมูลตรี และคุณพ่อ ฤทธิเกริกเกรียงไกร ศรีมูลตรี มาเป็นพี่เลี้ยงในพิทนักแข่ง
ปิดท้ายคนที่สาม “บู-สิทธิพร ศรีมูลตรี” น้องใหม่ในเวที ATC ที่เข้ามาโลดแล่นในการแข่งขันปีนี้เป็นครั้งแรก แม้ประสบการณ์ยังน้อย แต่ความสามารถทัดเทียมรุ่นพี่ ผ่านด่านการคัดตัวที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย เมื่อปลายปีก่อน และคว้าสิทธิมาร่วมการแข่งขันได้ในที่สุด

โดยนักบิดเยาวชนวัย 14 ปี จากอุดรธานี เปิดเผยว่า สิ่งที่ได้จากรายการนี้ ตัวเขามองว่าเป็นการฝึกฝนทั้งร่างกายและจิตใจ พร้อมทั้งซึบซับระเบียบวินัยที่แตกต่างกับรายการแข่งขันภายในประเทศ เนื่องจากทุกอย่างคือสิ่งใหม่ที่เขาต้องเรียนรู้และจดจำเพื่อพัฒนาตัวเองในเวทีอื่นๆ ต่อไป

“ผมเพิ่งเคยลงวิ่งในสนามแข่งต่างประเทศ ช่วงแรกยังมีความกังวล แต่บอส (อัลเบอร์โต้ พุค) ก็คอยสอนและแนะนำว่าเราช้าโค้งไหน เขาก็จะบอกแต่ละคนว่าเป็นไงบ้าง สนามนี้ขี่ดีแล้วเขาก็ให้กำลังใจ ไม่ใช่ว่าติอย่างเดียว พลาดนิดหน่อยไม่เป็นไร สนามหน้าแก้ตัวใหม่ ด้านฝีมือเขาบอกว่าสูสี ทุกชาติในเอเชียใกล้เคียงกัน ส่วนด้านจิตใจต้องพัฒนาเมื่อมาอยู่ในรายการระดับนานาชาติ”

ด้านคุณพ่อของน้องบู(ฤทธิเกริกเกรียงไกร ศรีมูลตรี) กล่าวเสริมว่า สำหรับเป้าหมายนอกจากเก็บประสบการณ์เพิ่มเติมแล้ว เวทีนี้ถือว่าเป็นกำแพงพิสูจน์ความสามารถของลูกชาย ว่าจะข้ามผ่านความกดดันในการแข่งขันที่ใกล้เคียงระดับมืออาชีพได้หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเส้นทางอาชีพของตัวเขาเองในอนาคต

ทั้งนี้ หลังจบการแข่งขันไปสองสนามที่ไทยและกาตาร์ คะแนนสะสมอันดับที่หนึ่งเป็นของนักบิดจากแดนอาทิตย์อุทัย “อายูมุ ซาซากิ” มี 76 คะแนน ส่วนอันดับที่สอง ได้แก่ “สมเกียรติ จันทรา” มี 61 คะแนน และอันดับที่สาม “มาซากิ คาซูกิ” มี 52 คะแนน ด้าน “นครินทร์ อธิรัฐภูวภัทร” อยู่ในอันดับที่ห้า มี 46 คะแนน และ “สิทธิพร ศรีมูลตรี” อยู่ในอันดับที่สิบแปดมี 1 คะแนน

ขณะเดียวกันสังเวียนปั้นนักบิดสู่นักแข่งอาชีพสนามต่อไป มีคิวดวลความเร็วกันในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย

ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ ASTVผู้จัดการ Motoring

กำลังโหลดความคิดเห็น