ข่าวในประเทศ - SBRAND ปรับแผนขยายธุรกิจ หลังติดปัญหาขอใบอนุญาตประกอบการกิจการ(รง.4) จนหาพื้นที่ใหม่ทำอู่ซ่อมสียาก หันรับซับคอนแทรกเพื่อบริหารจัดการศูนย์ซ่อมสีและตัวถังมาตรฐานให้ดีลเลอร์รถยนต์แทน คาดคุยจบ 4-5 รายในปีนี้ ตั้งเป้ารายได้โต 50%
นายประณัย พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม เอสแบรนด์ จำกัด ศูนย์ซ่อมบำรุงสี และตัวถังรถยนต์แนวใหม่ ภายใต้ชื่อ SBRAND เปิดเผยว่า หลังดำเนินธุรกิจมาครบ 3 ปี ค่อนข้างพอใจกับผลประกอบการและการรับรู้ของตลาดต่อ SBRAND ที่มีจุดเด่นเรื่องคุณภาพและให้บริการรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ 60 ล้านบาท เติบโต 50% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ทำได้ 40 ล้านบาท
ที่ผ่านมาบริษัทมุ่งไปที่ธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Consumer)ให้บริการลูกค้าโดยตรง ทั้งการซ่อมสีเฉพาะจุดและทำสีตัวถัง ด้วยศูนย์บริการ 2 สาขาคือ ศรีนครินทร์และปทุมวัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการรับงานมาจากบริษัทประกันภัยที่ปัจจุบันทำสัญญากันไว้ 15 ราย แต่กลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะมุ่งไปที่ธุรกิจ B2B (Business-to-Business) มากขึ้น หรือซับคอนแทรกเพื่อบริการจัดการอู่ซ่อมสีให้แก่ดีลเลอร์ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและยุโรปรวมถึงผู้นำเข้าอิสระ ปัจจุบันกำลังเจรจาอยู่ 4-5 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปและดำเนินการได้ภายในปีนี้
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทต้องหันมารุกธุรกิจแบบ B2C เนื่องจากการขยายสาขา SBRAND ทั้งในรูปแบบลงทุนเองและรับสมัครแฟรนไชส์กระจายไปทั่วประเทศ ติดข้อจำกัดเรื่องการขอใบอนุญาตประกอบการกิจการ(รง.4) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่กฎเกณฑ์ค่อนข้างเยอะสอดคล้องกับนโยบายผังเมืองที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการจะเปิดอู่ซ่อมสีใหม่จึงทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของการบริหารจัดการศูนย์ซ่อมสีและตัวถังมาตรฐานให้แก่ดีลเลอร์รถยนต์ชั้นนำทุกยี่ห้อในเมืองไทยที่ยังขาดเรื่องของศูนย์บริการซ่อมสีตัวถัง ด้วยช่างมืออาชีพและเครื่องมือและระบบ IT ที่ทันสมัย
นายประณัย กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดซ่อมสี ปัจจุบันก็ยังถือว่ามีการเติบโตที่ค่อนข้างคงตัวไม่เติบโตเท่าช่วงปีก่อนๆ เนื่องจากอัตราหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และยอดขายจำนวนรถใหม่ที่ลดลงในปัจจุบัน แต่ก็มีปัจจัยบวกหลายด้านทำให้ตลาดยังคงมีความน่าสนใจอยู่โดย ณ ปัจจุบันมีจำนวนรถสะสมในตลาดจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน และยังไม่รวมจำนวนรถจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอีกในแต่ละปีอีกซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าของตลาดซ่อมสีทั้งหมดและทำให้ตลาดยังเติบโตอยู่ในระดับหนึ่ง
“แม้ว่าศูนย์บริการและอู่ จะมีเปิดให้บริการอยู่จำนวนมาก แต่สำหรับ SBRAND เราได้สร้างมาตรฐานและความแตกต่างให้กับลูกค้า คือ เราต่างทั้งจากศูนย์บริการรถยนต์แต่ละยี่ห้อ และจากอู่ซ่อมสีรถยนต์ศูนย์บริการซ่อมสี ที่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะพบปัญหาต้องรอคิวเข้าซ่อมนานตั้งแต่จอดรอซ่อมจนกว่าจะได้ซ่อมจริง และรับรถได้แต่ สำหรับ SBRAND เราเน้นย้ำบริการที่จริงใจใส่ใจในทุกขั้นตอน การซ่อมบริการพรีเมี่ยมแต่ในราคาที่เทียบเท่ากับตลาด เจ้าหน้าที่พร้อมดูแลลูกค้าตั้งแต่ให้คำแนะนำ การใช้บริการประกันภัยจนถึงรถซ่อมเสร็จเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ลูกค้าในทุกด้าน”นายประณัย กล่าว
แปะท้ายทุกข่าวในเว็บ
นายประณัย พรประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม เอสแบรนด์ จำกัด ศูนย์ซ่อมบำรุงสี และตัวถังรถยนต์แนวใหม่ ภายใต้ชื่อ SBRAND เปิดเผยว่า หลังดำเนินธุรกิจมาครบ 3 ปี ค่อนข้างพอใจกับผลประกอบการและการรับรู้ของตลาดต่อ SBRAND ที่มีจุดเด่นเรื่องคุณภาพและให้บริการรวดเร็ว ด้วยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ 60 ล้านบาท เติบโต 50% เมื่อเทียบกับปี 2557 ที่ทำได้ 40 ล้านบาท
ที่ผ่านมาบริษัทมุ่งไปที่ธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Consumer)ให้บริการลูกค้าโดยตรง ทั้งการซ่อมสีเฉพาะจุดและทำสีตัวถัง ด้วยศูนย์บริการ 2 สาขาคือ ศรีนครินทร์และปทุมวัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการรับงานมาจากบริษัทประกันภัยที่ปัจจุบันทำสัญญากันไว้ 15 ราย แต่กลยุทธ์ในปีนี้บริษัทจะมุ่งไปที่ธุรกิจ B2B (Business-to-Business) มากขึ้น หรือซับคอนแทรกเพื่อบริการจัดการอู่ซ่อมสีให้แก่ดีลเลอร์ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและยุโรปรวมถึงผู้นำเข้าอิสระ ปัจจุบันกำลังเจรจาอยู่ 4-5 ราย คาดว่าจะได้ข้อสรุปและดำเนินการได้ภายในปีนี้
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทต้องหันมารุกธุรกิจแบบ B2C เนื่องจากการขยายสาขา SBRAND ทั้งในรูปแบบลงทุนเองและรับสมัครแฟรนไชส์กระจายไปทั่วประเทศ ติดข้อจำกัดเรื่องการขอใบอนุญาตประกอบการกิจการ(รง.4) ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่กฎเกณฑ์ค่อนข้างเยอะสอดคล้องกับนโยบายผังเมืองที่เปลี่ยนไป ดังนั้นการจะเปิดอู่ซ่อมสีใหม่จึงทำได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของการบริหารจัดการศูนย์ซ่อมสีและตัวถังมาตรฐานให้แก่ดีลเลอร์รถยนต์ชั้นนำทุกยี่ห้อในเมืองไทยที่ยังขาดเรื่องของศูนย์บริการซ่อมสีตัวถัง ด้วยช่างมืออาชีพและเครื่องมือและระบบ IT ที่ทันสมัย
นายประณัย กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดซ่อมสี ปัจจุบันก็ยังถือว่ามีการเติบโตที่ค่อนข้างคงตัวไม่เติบโตเท่าช่วงปีก่อนๆ เนื่องจากอัตราหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น และยอดขายจำนวนรถใหม่ที่ลดลงในปัจจุบัน แต่ก็มีปัจจัยบวกหลายด้านทำให้ตลาดยังคงมีความน่าสนใจอยู่โดย ณ ปัจจุบันมีจำนวนรถสะสมในตลาดจะมีมากกว่า 13 ล้านคัน และยังไม่รวมจำนวนรถจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นอีกในแต่ละปีอีกซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าของตลาดซ่อมสีทั้งหมดและทำให้ตลาดยังเติบโตอยู่ในระดับหนึ่ง
“แม้ว่าศูนย์บริการและอู่ จะมีเปิดให้บริการอยู่จำนวนมาก แต่สำหรับ SBRAND เราได้สร้างมาตรฐานและความแตกต่างให้กับลูกค้า คือ เราต่างทั้งจากศูนย์บริการรถยนต์แต่ละยี่ห้อ และจากอู่ซ่อมสีรถยนต์ศูนย์บริการซ่อมสี ที่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะพบปัญหาต้องรอคิวเข้าซ่อมนานตั้งแต่จอดรอซ่อมจนกว่าจะได้ซ่อมจริง และรับรถได้แต่ สำหรับ SBRAND เราเน้นย้ำบริการที่จริงใจใส่ใจในทุกขั้นตอน การซ่อมบริการพรีเมี่ยมแต่ในราคาที่เทียบเท่ากับตลาด เจ้าหน้าที่พร้อมดูแลลูกค้าตั้งแต่ให้คำแนะนำ การใช้บริการประกันภัยจนถึงรถซ่อมเสร็จเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจแก่ลูกค้าในทุกด้าน”นายประณัย กล่าว
แปะท้ายทุกข่าวในเว็บ