ดูเหมือนว่าการเปิดตัว X4 ของ BMW จะได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดจากบรรดาคู่แข่ง ซึ่งดูได้จากการที่ Benz เปิดตัวต้นแบบเอสยูวีมาดสปอร์ตออกมา เช่นเดียวกับ Audi ที่มีผลผลิตอย่าง TT Offroad Concept เอาไว้เตรียมสู้


น่าแปลกเหมือนกันที่ Audi นำชื่อ TT ซึ่งเป็นรถสปอร์ตมาใช้กับต้นแบบรุ่นนี้ แต่ถ้าจะให้คาดเดาก็คง หนีไม่พ้นเรื่องของการสร้างอิมแพ็คต์ต่อการรับรู้ เพราะ TT คือ รถสปอร์ต และเมื่อกลายร่างมาเป็น SUV แบบยกสูง คนน่าจะคิดว่าเหมือนกับเอา TT มายกสูง ซึ่งให้่ภาพลักษณ์ของความสปอร์ตที่ดีกว่า การนำ Q3 หรือ Q5 มาใช้ตั้งเป็นชื่อในแบบสปอร์ต
แน่นอนว่าตัวรถมีการอ้างอิงเส้นสายและสไตล์การออกแบบมาจาก TT ด้วยเช่นกัน รวมถึงรูปแบบ ของฝาถังน้ำมัน และทางผู้บริหารของ Audi ต่างยืนยันว่า นี่คือ การแตกไลน์ทางเลือกของสายพันธุ์ TT ซึ่งจะไม่ได้มีแค่รถสปอร์ตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการผสมผสานความสปอร์ตให้เข้ากับรถยนต์ประเภทอื่นๆ


ตัวรถมาในแบบ 4 ประตูที่มีความยาว 4,390 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร โดยมีขนาดใกล้เคียงและแทบไม่แตกต่างจากผลผลิตที่เป็น SUV แท้ๆ อย่าง Q3 เท่าไรนัก สำหรับทางเลือกของการขับเคลื่อนนั้น ในรุ่นต้นแบบจะเป็นแบบ Hybrid Plug-in ที่สามารถผลิตกำลัง ออกมาได้ 408 แรงม้า
ส่วนประกอบของระบบจะเป็นการผสมผสานกันของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบล TFSI แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ มีกำลังสูงสุด 292 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ผสมผสานการส่งกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์ที่มีขนาดเป็นแผ่นบางๆ และเชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกับเกียร์ e-S Tronic แบบ 6 จังหวะ และจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวขนาด 85 กิโลวัตต์ ติดตั้งอยู่ที่ล้อหลัง
ตัวรถสามารถขับในโหมด EV ได้ไกลถึง 50 กิโลเมตรจนกว่ากระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะหมด แล้วค่อยตัดเข้าสู่การขับเคลื่อนในรูปแบบที่เครื่องยนต์เข้ามาช่วยเหลือ
ดังนั้นถ้าในแต่ละครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ ใช้ระยะทางแค่นี้ ก็แทบจะไม่ต้องให้เครื่องยนต์ตื่นขึ้นมาทำงานเลย เมื่อถึงที่หมาย ก็เสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้าไปชดเชยในส่วนที่ถูกใช้ไปแล้ว โดยในส่วนของระบบการชาร์จก็ไฮเทคไม่แำพ้กัน กับระบบ Audi Wireless Charging ซึ่งสามารถชาร์จไฟโดยไม่ต้องใช้สายไฟ แต่จะเป็นแผ่นวางใต้ท้องรถที่ถูกเชื่อม ต่อเข้ากับระบบไฟฟ้า เมื่อจะชาร์จก็แค่ขับไปจอดคร่อม



ในด้านสมรรถนะถือว่าไม่ธรรมดาเ ใช้เวลาเพียง 5.2 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุดเกิน 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถูกล็อกเอาไว้เท่านี้ตามที่กฎหมายระบุ ส่วนความสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 52.63 กิโลเมตร/ลิตรจากการทดสอบตามโหมดของ EU
ดูจากภาพรวมของตัวรถแล้ว คงใช้เวลาไม่นานที่เราจะได้เห็นต้นแบบรุ่นนี้ออกมาจอดขายอยู่ตามโชว์รูม เพราะคันที่เป็นต้นแบบ รายละเอียดหลักๆ ก็แทบจะคล้ายกับคันจริงอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อถึงเวลาขายจริง จะเปลี่ยนมาใช้ชื่ออะไรเท่านั้นเอง
น่าแปลกเหมือนกันที่ Audi นำชื่อ TT ซึ่งเป็นรถสปอร์ตมาใช้กับต้นแบบรุ่นนี้ แต่ถ้าจะให้คาดเดาก็คง หนีไม่พ้นเรื่องของการสร้างอิมแพ็คต์ต่อการรับรู้ เพราะ TT คือ รถสปอร์ต และเมื่อกลายร่างมาเป็น SUV แบบยกสูง คนน่าจะคิดว่าเหมือนกับเอา TT มายกสูง ซึ่งให้่ภาพลักษณ์ของความสปอร์ตที่ดีกว่า การนำ Q3 หรือ Q5 มาใช้ตั้งเป็นชื่อในแบบสปอร์ต
แน่นอนว่าตัวรถมีการอ้างอิงเส้นสายและสไตล์การออกแบบมาจาก TT ด้วยเช่นกัน รวมถึงรูปแบบ ของฝาถังน้ำมัน และทางผู้บริหารของ Audi ต่างยืนยันว่า นี่คือ การแตกไลน์ทางเลือกของสายพันธุ์ TT ซึ่งจะไม่ได้มีแค่รถสปอร์ตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการผสมผสานความสปอร์ตให้เข้ากับรถยนต์ประเภทอื่นๆ
ตัวรถมาในแบบ 4 ประตูที่มีความยาว 4,390 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร โดยมีขนาดใกล้เคียงและแทบไม่แตกต่างจากผลผลิตที่เป็น SUV แท้ๆ อย่าง Q3 เท่าไรนัก สำหรับทางเลือกของการขับเคลื่อนนั้น ในรุ่นต้นแบบจะเป็นแบบ Hybrid Plug-in ที่สามารถผลิตกำลัง ออกมาได้ 408 แรงม้า
ส่วนประกอบของระบบจะเป็นการผสมผสานกันของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบล TFSI แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ มีกำลังสูงสุด 292 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ผสมผสานการส่งกำลังกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์ที่มีขนาดเป็นแผ่นบางๆ และเชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกับเกียร์ e-S Tronic แบบ 6 จังหวะ และจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวขนาด 85 กิโลวัตต์ ติดตั้งอยู่ที่ล้อหลัง
ตัวรถสามารถขับในโหมด EV ได้ไกลถึง 50 กิโลเมตรจนกว่ากระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะหมด แล้วค่อยตัดเข้าสู่การขับเคลื่อนในรูปแบบที่เครื่องยนต์เข้ามาช่วยเหลือ
ดังนั้นถ้าในแต่ละครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ ใช้ระยะทางแค่นี้ ก็แทบจะไม่ต้องให้เครื่องยนต์ตื่นขึ้นมาทำงานเลย เมื่อถึงที่หมาย ก็เสียบปลั๊กชาร์จไฟเข้าไปชดเชยในส่วนที่ถูกใช้ไปแล้ว โดยในส่วนของระบบการชาร์จก็ไฮเทคไม่แำพ้กัน กับระบบ Audi Wireless Charging ซึ่งสามารถชาร์จไฟโดยไม่ต้องใช้สายไฟ แต่จะเป็นแผ่นวางใต้ท้องรถที่ถูกเชื่อม ต่อเข้ากับระบบไฟฟ้า เมื่อจะชาร์จก็แค่ขับไปจอดคร่อม
ในด้านสมรรถนะถือว่าไม่ธรรมดาเ ใช้เวลาเพียง 5.2 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุดเกิน 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถูกล็อกเอาไว้เท่านี้ตามที่กฎหมายระบุ ส่วนความสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 52.63 กิโลเมตร/ลิตรจากการทดสอบตามโหมดของ EU
ดูจากภาพรวมของตัวรถแล้ว คงใช้เวลาไม่นานที่เราจะได้เห็นต้นแบบรุ่นนี้ออกมาจอดขายอยู่ตามโชว์รูม เพราะคันที่เป็นต้นแบบ รายละเอียดหลักๆ ก็แทบจะคล้ายกับคันจริงอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อถึงเวลาขายจริง จะเปลี่ยนมาใช้ชื่ออะไรเท่านั้นเอง