“ประหลาดตา ประทับใจ” เป็นพาดหัวบทความแรกที่ผู้เขียนได้ลองขับ “นิสสัน จู๊ค” (Nissan Juke) เมื่อกว่า 3 ปีที่แล้ว ซึ่งครั้งนั้นเป็นรถยนต์นำข้าทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น วางเครื่องยนต์ HR15DE ขนาด 1.5 ลิตร 114 แรงม้า สนนราคา 1.99 ล้านบาท โดยเกรย์มาร์เก็ต TSL
วันเปลี่ยนเวลาผ่าน ผู้เขียนได้ทดสอบสมรรถนะ “จู๊ค” ในหลายโอกาส ทั้งตัว 1.6 เทอร์โบ (ของ อีตั้น อิมปอร์ท) และตัวแต่ง “นิสโม” 1.6 เทอร์โบ เกียร์ธรรมดา รวมถึงตัวมหาแรงอย่าง “จู๊ค อาร์” เครื่องยนต์ วี6 ขนาด3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ 545 แรงม้า(สองรุ่นหลังได้ขับที่งาน “นิสสัน 360” แคลิฟอร์เนีย)
ที่เกริ่นมาแค่อยากจะบอกว่า กว่าที่ “จู๊ค” จะได้ทำตลาดในไทย(โดยบริษัทแม่) นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ต้องใช้กำลังภายในอย่างมากครับ เพราะบ้านเมืองอื่นเขาขายกันจนเปื่อย บนหลายทางเลือกขุมพลัง แต่ประเทศไทยรอเท่าไหร่ก็ไม่มาสักที หรือก่อนหน้านี้มีข่าวว่านิสสัน ถอดใจไม่นำเข้ามาด้วยซ้ำ เพราะทำราคาไม่ได้
...แต่จนแล้วจนรอดในยุคท่านประธาน(คนเก่า) “ทาคายูกิ คิมูระ” ก็ดึงนิสสัน จู๊ค มาขายในไทยได้สำเร็จ ที่สำคัญยังได้รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มาจากโรงงานผลิตประเทศอินโดนีเซีย (ที่ขายในประเทศด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร) พร้อมทำราคาได้น่าประทับใจที่ 8.19 แสนบาท กับ 8.58 แสนบาท
นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่รถเพิ่งพร้อมส่งมอบจริงจังได้ตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ เห็นว่ามียอดจองเข้ามากว่า 4,000 คัน ในจำนวนนี้ทยอยส่งมอบให้ลูกค้าได้เพียง 1,000 กว่าคันเท่านั้น
อีกหนึ่งความน่าสนใจอยู่ตรงสีตัวถังที่ถูกขายไป โดยสียอดนิยมเป็นสีขาวครองสัดส่วน 35% แต่สีแดง สีโปรโมทกลับมาแรงเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วน 25% ซึ่งปกติสีแดงกับรถยนต์บ้านๆ ยอดขายไม่เยอะหรืออาจจะไม่ถึง 10%
ประเด็นนี้สะท้อนถึงบุคลิกที่ชัดเจนของตัวรถ รวมถึงกลุ่มลูกค้าผู้ซื้อ ที่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับของตัวเอง ขณะเดียวกันตัวถังภายนอกสีแดงถือว่าเข้ากับการตกแต่งภายในของตัวท็อป 1.6V ได้เป็นอย่างดี เพราะรุ่นนี้จะแต้มแต่งด้วยสีแดงทั้ง คอนโซลกลาง (คล้ายๆมีถังน้ำมันมอเตอร์ไซค์วางอยู่กลางรถ) แผงประตู เหล่านี้ตัดกับโทนสีดำของเบาะหนังและวัสดุส่วนอื่นๆภายในห้องโดยสารได้โดดเด่น (ในรุ่น 1.6E ใช้โทนสีดำตัดกับสีเงิน ซึ่งดูเรียบสวยไปอีกแบบ)
ส่วนออปชันเด่นภายในที่ดูมีมูลค่า อย่างหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เล่นอินเตอร์เน็ต ผ่านสัญญาณ Wi-fi ทั่วไปและของสมาร์ทโฟนได้ ที่สำคัญหน้าจอนี้ยังสามารถดึงออกมาจากแผงคอนโซลหน้าได้ ซึ่งคุณจะดึงลงไปใช้แทน“แทปเล็ต”ส่วนตัวก็สุดแล้วแต่ เพียงแต่ต้องมีเพาเวอร์แบงค์จ่ายไฟเสียบติดไปด้วย
เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากหน้าจอทัชสกรีน ด้านซ้ายจะพบกับปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ เขียนว่า Climate ส่วนด้านขวาจะเป็นปุ่มเลือก/แสดง ระบบขับขี่ D-Modeที่เลือกความเร้าใจได้แบบ “สปอร์ต”(Spost) ประหยัด “อีโค” (Eco) หรือปกติ (Normal)
ดูมีของเล่นเยอะดีนะครับสำหรับนิสสัน จู๊ค ที่สำคัญยังจัดตั้งแต่รุ่น 1.6E ราคา 8.19 แสนบาท ซึ่งมาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานอย่าง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกEBD เสริมแรงเบรก BA ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบกุญแจอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ท/ดับ เครื่องยนต์ และกล้องมองหลัง
ทั้งนี้รุ่น 1.6E จะมีออปชันต่างจากรุ่นท็อป 1.6Vเพียงเบาะนั่งแบบผ้า และไม่มีสัญญาณกันขโมย สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง พนักวางแขนเบาะหน้า และไร้สปอยเลอร์หลัง คิ้วขอบประตูท้ายโครเมียม ปลายท่อไอเสียโครเมียม และยางโคลนบังล้อ
…พิจารณาออปชันที่ขาดไปในรุ่น 1.6E แต่เทียบกับสิ่งที่ได้รับ ผู้เขียนว่าจู๊ครุ่นนี้ให้ความคุ้มค่าต่อราคาสูงครับ
เหนืออื่นใดสิ่งที่เข้ามาสนับสนุนความคิดเรื่องความคุ้มค่าน่าใช้ คงเป็นสมรรถนะของเครื่องยนต์ HR16DE ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบหัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT (ชุดขับเดียวกับซิลฟี)
บุคลิกการขับขี่ดูกระฉับกระเฉง แม้ในโหมดธรรมดาการตอบสนองก็ไม่อืดครับ เร่งดี แรงสมเหตุสมผล หรืออยากจะลองขับโหมดสปอร์ต คราวนี้เครื่องยนต์และเกียร์จะสอดประสานสั่งงานให้รถดุดันมากขึ้น
ในโหมดสปอร์ต เมื่อกดคันเร่งแล้วพละกำลังมาเต็มที่ตามเท้า หรือจัดให้แรงกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ซึ่งโหมดนี้จะปรับการสั่งงานให้ลิ้นปีกผีเสื้อเปิดองศากว้างมากขึ้น ไอดีไหลเข้าเน้นๆ ขณะที่เกียร์ก็จะคอยอยู่ที่รอบสูงๆ หวังให้ผู้ขับออกตัว เร่งแซงได้ทันใจ
...สรุปคือผู้เขียนประทับใจกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และเกียร์ที่ทำงานขมีขมัน และเป็นการขับเครื่องยนต์แบบ NA ที่สนุกสนาน จนไม่ต้องไปถามถึงตัว 1.6 เทอร์โบ(ที่มีต้นทุนเพิ่ม) แล้วละครับว่าจะมาไหม
เช่นเดียวกับเกียร์ XTRONIC CVT ชุดนี้ นิสสันพัฒนามาให้ตอบสนองการขับขี่ได้ยอดเยี่ยม โดยพร้อมจะนำข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ ความเร็วของรถยนต์ สภาพผิวถนน และน้ำหนักของตัวรถ มาประมวลผล เพื่อหารูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในสภาพการณ์นั้นๆ
นิสสัน จู๊คเป็นรถที่ขับในเมืองคล่องแคล่ว พร้อมทัศนวิสัยด้านหน้าชัดเจน ด้วยกระจกบานหน้ากว้าง และระยะต่ำสุดจากพื้น 180 มม.เพิ่มมุมมองสูงขึ้นมาอีกนิด เบาะหนังคู่หน้านั่งสบาย แต่ด้านหลังแคบไปนิด ถ้าคนตัวสูง 175-180 ซม. ระยะห่างช่วงหัวยังเหลือ ส่วนระยะห่างช่วงขาเกือบชนเบาะหน้าเลยทีเดียว
ด้วยพื้นฐานการพัฒนาบน B-Platformเช่นเดียวกับ ซิลฟี พัลซาร์(และทีด้าเดิม) พร้อมโครงสร้างช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท เสริมเหล็กกันโคลง หลังแบบคานทอร์ชั่นบีม ประกบล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และยางบริดจสโตน ทูรันซ่า 215/55R17 การรองรับรวมๆเน้นความนุ่มนวล ขับเรื่อยๆในเมืองตัวรถไม่ดีดเด้งมาก
แต่กรณีออกนอกเมืองใช้ความเร็วสูง 100-120 กม./ชม. (การทดสอบนั่งกันไปสองคน) ตัวรถมีอาการโยกตามคลื่นถนนพอสมควร ส่วนการทรงตัวในโค้งมีโยนนิดๆ
พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียน ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมระบบปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ผู้เขียนว่าสั่งงานยังไม่เฉียบหรือแม่นยำนัก อย่างการใช้ความเร็วในโค้ง การควบคุมยังต้องคอยเลี้ยง มีประคอง ไม่แม่นฉลุยเมื่อเทียบกับพวกเอสยูวีระดับคอมแพกต์หลายรุ่น(ราคาหนึ่งล้านบาทขึ้นไป)
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับพอใช้ มีเสียงลม เสียงการจราจรภายนอก เสียงดังจากพื้น แอบเล็ดลอดเข้ามาบ้าง ขณะที่เบรกหน้าดิสก์หลังดรัม (ซิลฟีเป็นดิสก์ 4 ล้อ) การตอบสนองของแป้นเบรกต้องปรับอารมณ์ในช่วงแรกๆ เพราะออกแนวนุ่ม การต้านเท้าไม่สัมพันธ์กับความรู้สึกของการขับขี่ทั่วไป ขณะเดียวกันถ้าหวังให้เบรกจับชัดเจน คงต้องกดลงไปแรงลึก แต่ก็จะมาพร้อมอาการหน้าทิ่มหัวจิกอยู่นิดๆ
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันนิสสันเคลมตัวเลขเฉลี่ยไว้ 15 กม./ลิตร ส่วนทริปนี้ขับระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ใช้ความเร็วสูงเกิน 120 กม./ชม. สลับรถติดนานแถวหน้าองค์พระปฐมเจดีย์(ทำถนน) มีตัวเลขเฉลี่ย 7.4 ลิตรต่อ 100 กม. หรือ 13.5 กม./ลิตรครับ
รวบรัดตัดความ...สมรรถนะการขับขี่ จี๊ดจ๊าด เร้าใจ สมกับรูปพรรณอันโดดเด่น ใครชอบความแรงเลือกไปโหมด “สปอร์ต” ไม่มีผิดหวัง เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ประกบเกียร์ CVT ชุดนี้ สอดประสานทำงานยอดเยี่ยม และน่าจะลืมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบไปได้เลย ด้านอัตราบริโภคน้ำมันอยู่ในระดับพอรับได้กับการเป็นเอสยูวีขนาดเล็ก ออปชันต่างๆ อุปกรณ์มาตรฐาน โดยรวมถือว่าคุ้มค่าน่าใช้
วันเปลี่ยนเวลาผ่าน ผู้เขียนได้ทดสอบสมรรถนะ “จู๊ค” ในหลายโอกาส ทั้งตัว 1.6 เทอร์โบ (ของ อีตั้น อิมปอร์ท) และตัวแต่ง “นิสโม” 1.6 เทอร์โบ เกียร์ธรรมดา รวมถึงตัวมหาแรงอย่าง “จู๊ค อาร์” เครื่องยนต์ วี6 ขนาด3.8 ลิตร เทอร์โบคู่ 545 แรงม้า(สองรุ่นหลังได้ขับที่งาน “นิสสัน 360” แคลิฟอร์เนีย)
ที่เกริ่นมาแค่อยากจะบอกว่า กว่าที่ “จู๊ค” จะได้ทำตลาดในไทย(โดยบริษัทแม่) นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ต้องใช้กำลังภายในอย่างมากครับ เพราะบ้านเมืองอื่นเขาขายกันจนเปื่อย บนหลายทางเลือกขุมพลัง แต่ประเทศไทยรอเท่าไหร่ก็ไม่มาสักที หรือก่อนหน้านี้มีข่าวว่านิสสัน ถอดใจไม่นำเข้ามาด้วยซ้ำ เพราะทำราคาไม่ได้
...แต่จนแล้วจนรอดในยุคท่านประธาน(คนเก่า) “ทาคายูกิ คิมูระ” ก็ดึงนิสสัน จู๊ค มาขายในไทยได้สำเร็จ ที่สำคัญยังได้รุ่นเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร มาจากโรงงานผลิตประเทศอินโดนีเซีย (ที่ขายในประเทศด้วยเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร) พร้อมทำราคาได้น่าประทับใจที่ 8.19 แสนบาท กับ 8.58 แสนบาท
นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่รถเพิ่งพร้อมส่งมอบจริงจังได้ตั้งแต่เดือนมกราคมนี้ เห็นว่ามียอดจองเข้ามากว่า 4,000 คัน ในจำนวนนี้ทยอยส่งมอบให้ลูกค้าได้เพียง 1,000 กว่าคันเท่านั้น
อีกหนึ่งความน่าสนใจอยู่ตรงสีตัวถังที่ถูกขายไป โดยสียอดนิยมเป็นสีขาวครองสัดส่วน 35% แต่สีแดง สีโปรโมทกลับมาแรงเป็นอันดับสองด้วยสัดส่วน 25% ซึ่งปกติสีแดงกับรถยนต์บ้านๆ ยอดขายไม่เยอะหรืออาจจะไม่ถึง 10%
ประเด็นนี้สะท้อนถึงบุคลิกที่ชัดเจนของตัวรถ รวมถึงกลุ่มลูกค้าผู้ซื้อ ที่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์ในแบบฉบับของตัวเอง ขณะเดียวกันตัวถังภายนอกสีแดงถือว่าเข้ากับการตกแต่งภายในของตัวท็อป 1.6V ได้เป็นอย่างดี เพราะรุ่นนี้จะแต้มแต่งด้วยสีแดงทั้ง คอนโซลกลาง (คล้ายๆมีถังน้ำมันมอเตอร์ไซค์วางอยู่กลางรถ) แผงประตู เหล่านี้ตัดกับโทนสีดำของเบาะหนังและวัสดุส่วนอื่นๆภายในห้องโดยสารได้โดดเด่น (ในรุ่น 1.6E ใช้โทนสีดำตัดกับสีเงิน ซึ่งดูเรียบสวยไปอีกแบบ)
ส่วนออปชันเด่นภายในที่ดูมีมูลค่า อย่างหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว มาพร้อมระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เล่นอินเตอร์เน็ต ผ่านสัญญาณ Wi-fi ทั่วไปและของสมาร์ทโฟนได้ ที่สำคัญหน้าจอนี้ยังสามารถดึงออกมาจากแผงคอนโซลหน้าได้ ซึ่งคุณจะดึงลงไปใช้แทน“แทปเล็ต”ส่วนตัวก็สุดแล้วแต่ เพียงแต่ต้องมีเพาเวอร์แบงค์จ่ายไฟเสียบติดไปด้วย
เมื่อเลื่อนสายตาลงมาจากหน้าจอทัชสกรีน ด้านซ้ายจะพบกับปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศ เขียนว่า Climate ส่วนด้านขวาจะเป็นปุ่มเลือก/แสดง ระบบขับขี่ D-Modeที่เลือกความเร้าใจได้แบบ “สปอร์ต”(Spost) ประหยัด “อีโค” (Eco) หรือปกติ (Normal)
ดูมีของเล่นเยอะดีนะครับสำหรับนิสสัน จู๊ค ที่สำคัญยังจัดตั้งแต่รุ่น 1.6E ราคา 8.19 แสนบาท ซึ่งมาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานอย่าง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกEBD เสริมแรงเบรก BA ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบกุญแจอัจฉริยะ พร้อมปุ่มสตาร์ท/ดับ เครื่องยนต์ และกล้องมองหลัง
ทั้งนี้รุ่น 1.6E จะมีออปชันต่างจากรุ่นท็อป 1.6Vเพียงเบาะนั่งแบบผ้า และไม่มีสัญญาณกันขโมย สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง พนักวางแขนเบาะหน้า และไร้สปอยเลอร์หลัง คิ้วขอบประตูท้ายโครเมียม ปลายท่อไอเสียโครเมียม และยางโคลนบังล้อ
…พิจารณาออปชันที่ขาดไปในรุ่น 1.6E แต่เทียบกับสิ่งที่ได้รับ ผู้เขียนว่าจู๊ครุ่นนี้ให้ความคุ้มค่าต่อราคาสูงครับ
เหนืออื่นใดสิ่งที่เข้ามาสนับสนุนความคิดเรื่องความคุ้มค่าน่าใช้ คงเป็นสมรรถนะของเครื่องยนต์ HR16DE ขนาด 1.6 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมระบบหัวฉีดคู่ (Dual Injector System) ระบบวาล์วแปรผันคู่ Twin C-VTC ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 154 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT (ชุดขับเดียวกับซิลฟี)
บุคลิกการขับขี่ดูกระฉับกระเฉง แม้ในโหมดธรรมดาการตอบสนองก็ไม่อืดครับ เร่งดี แรงสมเหตุสมผล หรืออยากจะลองขับโหมดสปอร์ต คราวนี้เครื่องยนต์และเกียร์จะสอดประสานสั่งงานให้รถดุดันมากขึ้น
ในโหมดสปอร์ต เมื่อกดคันเร่งแล้วพละกำลังมาเต็มที่ตามเท้า หรือจัดให้แรงกว่าที่คิดด้วยซ้ำ ซึ่งโหมดนี้จะปรับการสั่งงานให้ลิ้นปีกผีเสื้อเปิดองศากว้างมากขึ้น ไอดีไหลเข้าเน้นๆ ขณะที่เกียร์ก็จะคอยอยู่ที่รอบสูงๆ หวังให้ผู้ขับออกตัว เร่งแซงได้ทันใจ
...สรุปคือผู้เขียนประทับใจกับประสิทธิภาพของเครื่องยนต์และเกียร์ที่ทำงานขมีขมัน และเป็นการขับเครื่องยนต์แบบ NA ที่สนุกสนาน จนไม่ต้องไปถามถึงตัว 1.6 เทอร์โบ(ที่มีต้นทุนเพิ่ม) แล้วละครับว่าจะมาไหม
เช่นเดียวกับเกียร์ XTRONIC CVT ชุดนี้ นิสสันพัฒนามาให้ตอบสนองการขับขี่ได้ยอดเยี่ยม โดยพร้อมจะนำข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่ ความเร็วของรถยนต์ สภาพผิวถนน และน้ำหนักของตัวรถ มาประมวลผล เพื่อหารูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ที่เหมาะสมที่สุดในสภาพการณ์นั้นๆ
นิสสัน จู๊คเป็นรถที่ขับในเมืองคล่องแคล่ว พร้อมทัศนวิสัยด้านหน้าชัดเจน ด้วยกระจกบานหน้ากว้าง และระยะต่ำสุดจากพื้น 180 มม.เพิ่มมุมมองสูงขึ้นมาอีกนิด เบาะหนังคู่หน้านั่งสบาย แต่ด้านหลังแคบไปนิด ถ้าคนตัวสูง 175-180 ซม. ระยะห่างช่วงหัวยังเหลือ ส่วนระยะห่างช่วงขาเกือบชนเบาะหน้าเลยทีเดียว
ด้วยพื้นฐานการพัฒนาบน B-Platformเช่นเดียวกับ ซิลฟี พัลซาร์(และทีด้าเดิม) พร้อมโครงสร้างช่วงล่างหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท เสริมเหล็กกันโคลง หลังแบบคานทอร์ชั่นบีม ประกบล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และยางบริดจสโตน ทูรันซ่า 215/55R17 การรองรับรวมๆเน้นความนุ่มนวล ขับเรื่อยๆในเมืองตัวรถไม่ดีดเด้งมาก
แต่กรณีออกนอกเมืองใช้ความเร็วสูง 100-120 กม./ชม. (การทดสอบนั่งกันไปสองคน) ตัวรถมีอาการโยกตามคลื่นถนนพอสมควร ส่วนการทรงตัวในโค้งมีโยนนิดๆ
พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียน ผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมระบบปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ ผู้เขียนว่าสั่งงานยังไม่เฉียบหรือแม่นยำนัก อย่างการใช้ความเร็วในโค้ง การควบคุมยังต้องคอยเลี้ยง มีประคอง ไม่แม่นฉลุยเมื่อเทียบกับพวกเอสยูวีระดับคอมแพกต์หลายรุ่น(ราคาหนึ่งล้านบาทขึ้นไป)
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารอยู่ในระดับพอใช้ มีเสียงลม เสียงการจราจรภายนอก เสียงดังจากพื้น แอบเล็ดลอดเข้ามาบ้าง ขณะที่เบรกหน้าดิสก์หลังดรัม (ซิลฟีเป็นดิสก์ 4 ล้อ) การตอบสนองของแป้นเบรกต้องปรับอารมณ์ในช่วงแรกๆ เพราะออกแนวนุ่ม การต้านเท้าไม่สัมพันธ์กับความรู้สึกของการขับขี่ทั่วไป ขณะเดียวกันถ้าหวังให้เบรกจับชัดเจน คงต้องกดลงไปแรงลึก แต่ก็จะมาพร้อมอาการหน้าทิ่มหัวจิกอยู่นิดๆ
ด้านอัตราบริโภคน้ำมันนิสสันเคลมตัวเลขเฉลี่ยไว้ 15 กม./ลิตร ส่วนทริปนี้ขับระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร ใช้ความเร็วสูงเกิน 120 กม./ชม. สลับรถติดนานแถวหน้าองค์พระปฐมเจดีย์(ทำถนน) มีตัวเลขเฉลี่ย 7.4 ลิตรต่อ 100 กม. หรือ 13.5 กม./ลิตรครับ
รวบรัดตัดความ...สมรรถนะการขับขี่ จี๊ดจ๊าด เร้าใจ สมกับรูปพรรณอันโดดเด่น ใครชอบความแรงเลือกไปโหมด “สปอร์ต” ไม่มีผิดหวัง เครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ประกบเกียร์ CVT ชุดนี้ สอดประสานทำงานยอดเยี่ยม และน่าจะลืมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบไปได้เลย ด้านอัตราบริโภคน้ำมันอยู่ในระดับพอรับได้กับการเป็นเอสยูวีขนาดเล็ก ออปชันต่างๆ อุปกรณ์มาตรฐาน โดยรวมถือว่าคุ้มค่าน่าใช้