ช่วงนี้ยอดขายเก๋งเล็กอาจจะลำบากยากแค้น เพราะความต้องการตลาดโดยรวมถูกดึงไปใช้ล่วงหน้าจากโครงการรถยนต์คันแรกหลายแสนคัน เรียกว่าดึงดีมานอนาคตมาใช้ก่อน 1-2 ปีเห็นจะได้
ช่วงนี้เราจึงเห็นค่ายรถจัดแคมเปญหนัก อัดเงินส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี โดยวางเงื่อนไขลดแลกจากแถมหลากหลาย แม้ความต้องการซื้อรถของลูกค้าใหม่ไม่มี ก็ยังพยายามไปดึงลูกค้าเก่า ด้วยการออกโปรโมชัน เอารถเก่าที่ใช้อยู่มาเทรดเป็นรถใหม่และได้ส่วนลดเพิ่มเติม
“ฮอนด้า” เป็นค่ายรถยนต์ที่ปกติไม่ค่อยเล่นแคมเปญส่งเสริมการขายมากนัก แต่มาปีนี้อยู่เฉยไม่ได้ครับ พวกดาวน์น้อย ผ่อนสบาย หรือดอกเบี้ย 0% ก็ยังมีให้เห็น (อย่างเก๋งรุ่น ซิตี้ กำลังเข้าสู่ปลายอายุโมเดลต้องเร่งขายระบายสต็อกกันหน่อย)
ด้วยตลาดเก๋งเล็กที่แข่งขันกันดุเดือด แต่ฮอนด้ายังมีทีเด็ดเรียกยอดกับรถอเนกประสงค์หลายรุ่นที่ไม่ได้อยู่ในโครงการรถยนต์คันแรก ดังนั้นจึงการันตีได้ว่ารถกลุ่มนี้ยังมีความต้องการอยู่เรื่อยๆ ที่สำคัญลูกค้าค่อนข้างมีกำลังซื้อเสียด้วย
ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา “ฮอนด้า” รวบ MPV มาจัดงานส่งเสริมการตลาดพร้อมๆกัน เพื่อให้เกิดพลังในการสื่อสารและมีความชัดเจนในคราวเดียว กับ“สเตปแวกอน สปาด้า ไมเนอร์เชนจ์” และรุ่นปรับออปชันของ “ฮอนด้า ฟรีด”
โดยรุ่นแรกถือเป็นผลพลอยได้จากน้ำท่วมปี 2554 ที่ช่วงนั้นฮอนด้ามีปัญหาเรื่องการผลิต จึงต้องนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นมาประคองยอดขายให้ดีลเลอร์อยู่ได้ ทั้ง MPV ใหญ่ “โอดิสซีย์” สปอร์ตไฮบริด “ซีอาร์-ซีร์” (CR-Z) และสเตปแวกอน ก็เป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับฮอนด้า สเตปแวกอน สปาด้า รุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้มีความน่าสนใจครับ ทั้งการปรับโฉมให้ดูสปอร์ตเข้มมากขึ้น ด้วยกระจังหน้าโครเมียมรมดำ โคมไฟหน้ารมดำ ใช้ไฟหรี่แบบหลอดLED ชุดไฟท้ายหลอดLED สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบLED
ขณะเดียวกันยังติดตั้งหลังคาแก้วบานโตที่ฮอนด้าเรียกว่า Skyroof ส่งให้รถดูดีมีสกุลและถือเป็นมูลค่าที่เพิ่มเข้ามา แต่ทว่าราคาขายกลับไม่ได้แพงขึ้นแถมถูกลงเป็นหลักแสนด้วยซ้ำ
…คนซื้อสเตปแวกอนรุ่นก่อนหน้านี้ไปสักระยะอาจจะแสนช้ำ แต่คนซื้อรุ่นใหม่ต้องบอกว่า จังหวะดีเพราะได้ราคาถูกลงไป 2.15 แสนบาท (แถมได้โฉมใหม่และหลังคาแก้วเพิ่มเข้ามา) อันเป็นผลมาจากการปรับเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ E20 จึงได้การสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยการลดภาษีสรรพสามิตลงอีก 5%
โดยสเตปแวกอน สปาด้า ใหม่ รุ่นท็อป EL ราคา 1.959 ล้านบาท (เดิม 2.174 ล้านบาท) มาพร้อมเบาะหนังและพื้นห้องโดยสารแบบลามิแนต ส่วนรุ่น E ที่เพิ่งเสริมเข้ามาใหม่ราคา 1.899 ล้านบาท จะใช้เบาะผ้าและพื้นห้องโดยสารเป็นพรม
สำหรับการทดสอบ MPV รุ่นดังที่ข้ามน้ำผ่านทะเลมาจากญี่ปุ่น ผู้เขียนได้ลองขับบนเส้นทางกรุงเทพฯ - สุโขทัย ระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร ซึ่งครั้งนี้บรรทุกคนแบกของไปเต็มลำ ทั้งผู้โดยสารอีกสามคน (สลับกันขับ) จักรยานอีกสองคันและกระเป๋าเดินทาง
ว่าถึงเรื่องจักรยานนั้นใส่เข้าไปได้สบายครับ เพราะเบาะนั่งแถวสามของสเตปแวกอนสามารถพับให้เรียบไปกับพื้นห้องโดยสารด้านหลังได้ (ไม่มียางอะไหล่) แต่สำหรับทริปนี้เบาะหลังแถวสองถูกจับจองนั่งไปแล้ว ดังนั้นจักรยานขนาด (ประมาณ) 50 ซม.จึงต้องถอดล้อหน้าออกไปก่อน
จุดเด่นของสเตปแวกน สปาด้า อยู่ที่ความอเนกประสงค์จากเบาะนั่งที่พับได้หลากหลาย หรือพลิกแพลงได้ถึง16 รูปแบบ ขณะที่เบาะนั่งแถวสองเป็นแบบแยกอิสระซ้ายขวา คล่องแคล่วด้วยการวางเบาะแบบ Walk Through สามารถเดินตรงทะลุกลางได้ ตั้งแต่เบาะคู่หน้าไปจนถึงเบาะนั่งแถวสาม (เพราะโยกคันเกียร์มาไว้บนแผงคอนโซลหน้า) พร้อมประตูสไลด์ไฟฟ้าสองฝั่ง ซึ่งจะช่วยให้ผู้แก่เด็กน้อยขึ้นลง-เข้าออกภายในห้องโดยสารสะดวก พร้อมระยะต่ำสุดจากพื้นเพียง 153 มิลลิเมตร
ภายในห้องโดยสารยังใช้หน้าจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว รองรับความบันเทิงและระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ฝังปุ่มควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ แสดงผลการขับขี่และครูสคอนโทรล ตลอดจนระบบแอร์อัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์สำหรับเบาะนั่งแถว 2 และ 3
สเตปแวกอน สปาด้า ยังมีระบบ Idling Stop เครื่องยนต์ดับเองเมื่อรถจอดหยุดนิ่ง ช่วยเรื่องการประหยัดน้ำมัน ซึ่งผู้ขับสามารถเลือกเปิดหรือปิดได้ ส่วนระบบความปลอดภัย ฮอนด้าให้ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว กล้องมองภาพด้านหลัง ระบบเบรก ABS ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HAS และถุงลมนิรภัยคู่หน้า
ด้านสมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.0 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 193 นิวตัน-เมตร ที่ 4,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบสายพานอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง CVT
อย่างที่เรียนว่าทริปนี้นั่งอัดกันไปเต็มลำ หากแต่ว่าการขับขี่โดยรวม สเตปแวกอนทำได้น่าพอใจ การตอบสนองของเครื่องยนต์และเกียร์ไม่อืดอาด ช่วงออกตัวฉลุย แต่ก็ไม่ถึงกับดึงกระฉาก ขณะที่อัตราเร่งในย่านความเร็วกลาง เข่นคันเร่งลงไปนิด รอจังหวะหน่อย สามารถบี้แซงรถบรรทุกได้สบาย ส่วนความเร็วปลายเกิน 100-120 กม./ชม. แล่นฉิว
สำหรับคันเกียร์ที่ปักอยู่บริเวณคอนโซลหน้าใช้สะดวกดี ซึ่งจริงๆแล้วผู้เขียนไม่ได้ไปยุ่งอะไรมาก แช่ไว้เกียร์ D ก็ขับขี่สบายแล้ว แต่ในกรณีต้องเชนเกียร์ ผู้เขียนเลือกใช้แพดเดิลชิฟท์หลังพวงมาลัย ที่ตอบสนองการเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วเช่นกัน (ขวา +,ซ้าย -)
ด้านทัศนวิสัยการขับขี่ของสเตปแวกอน ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ กระจกบังลมหน้า กระจกข้างบานโต โปร่งชัด โออ่า มองได้ไกลรอบทิศ ผู้เขียนยังชอบลูกเล่นที่ฮอนด้าฝังกระจกบานเล็กๆไว้ที่เสาร์เอ-พิลลาร์ เพื่อสะท้อนภาพจากมุมอับบริเวนล้อรถหน้าด้านซ้าย(ของผู้ขับ) เข้ามาให้เห็น
ด้วยตัวรถเป็นทรงกล่อง กระจกตั้งชันสวนทางกับหลักอากาศพลศาสตร์ แต่การเก็บเสียงลมปะทะและเสียงรบกวนภายในโดยสารถือว่าเนี้ยบ หรือเหนือกว่าฟรีด และ MPV ราคา 6-7 แสนบาทที่ขายในบ้านเรา
ขณะที่ช่วงล่างหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง หลังเป็นคานแบบทอร์ชันบีม เซ็ทมาค่อนข้างนุ่ม ขับทางตรงความเร็วสูงมีโยนขึ้นลงตามคลื่นถนนอยู่นิดๆ แต่ผู้เขียนประหลาดใจตรงที่การทรงตัวยามเข้าโค้ง ตัวถังสเตปแวกอนกลับไม่โยกคลอน(ซ้าย-ขวา) ออกแนวนิ่งแน่นใช้ได้ทีเดียว
พวงมาลัยแบบผ่อนแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า เบามือไปนิดหรือมีระยะฟรีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นไปตามสไตล์รถครอบครัว ประเด็นนี้ไม่มีปัญหาในการขับขี่ วิ่งทางไกลยังถือพวงมาลัยได้มั่นคง ควบคุมมั่นใจ สอดคล้องกับการทรงตัวที่สมดุลพอสมควร
ส่วนระบบเบรกของสเตปแวกอน สปาด้า เป็นแบบดิสก์ทั้งสี่ล้อ การตอบสนองนุ่มนวล ระยะชะลอหยุดอยู่ในความคาดหมาย แต่กรณีขับขี่พร้อมบรรทุกน้ำหนักกันมาเยอะๆ ผู้ขับน่าจะต้องเผื่อเหลือเผื่อขาดให้มากขึ้น ปรับความรู้สึกกันสักหน่อย
ปิดท้ายด้วยอัตราบริโภคน้ำมัน ที่ทริปนี้ใช้ความเร็ว 100-120 กม./ชม.เป็นหลัก หน้าจอแสดงผลอยู่ที่ 11 กม./ลิตร
รวบรัดตัดความ…เป็นรถครบครัวที่มีความโดดเด่นเรื่องรูปลักษณ์ ออปชันเพียบ พร้อมความอเนกประสงค์ด้วยประตูสไลด์ไฟฟ้าซ้าย-ขวา เบาะนั่งปรับพับได้หลากหลาย เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 150 แรงม้า ตอบสนองการขับขี่ได้ลงตัว อัตราบริโภคน้ำมันไม่ได้น่าเกลียด สนนราคาค่าตัวไม่ถึงสองล้านในตัวเลือกแบบ MPV ระดับหรูถือว่าน่าใช้ เว้นเสียแต่ว่าคุณจะมองไปที่รถคอมแพกต์เอสยูวี ที่ราคานี้เลือกซื้อได้หลายรุ่น แถมเงินเหลือเพียบ