“หากต้องออกจากบ้านเมื่อไหร่ ผมใช้มอเตอไซค์เป็นขาที่สอง”
เป็นคำพูดสั้นๆ ประโยคแรกที่ออกจากปากของ “ไมค์-ไมเคิล เวลส์ช” นักแสดงหนุ่มมาดเข้ม ผู้มักได้รับบทบนจอแก้วเป็นตัวโกงในละครหลายเรื่อง พร้อมเปิดอกคุยต่อเกี่ยวกับเรื่องราวการใช้รถของเขา
“ไปไหนมาไหนก็ใช้มอเตอร์ไซค์ตลอด ถึงขนาดคนในกองถ่ายแซวกันไปทั่ว พวกเขานึกว่าผมชอบขี่และใช้วิ่งชิลๆ เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่ที่จริงขี่จากปราณบุรีเข้ามาในเมือง เพราะผมทำรีสอร์ทที่นั่นและพักอยู่ที่นั่นด้วย เคยมีคนถามผมว่าเหนื่อยมั้ย ผมตอบว่าเหนื่อยนะ แต่เป็นการเหนื่อยที่มีความสุข เหมือนคนชอบเตะบอลนั่นแหละ และไม่ใช่ว่าไม่มีรถยนต์นะ มีแต่ไม่ใช้ เว้นเสียว่าเวลาไปทำธุระอย่างอื่นซึ่งจำเป็นต้องขนของเยอะเกินกว่าที่สองล้อจะแบกไหว แบบนั้นถึงค่อยใช้สี่ล้อ”
ด้วยโจทย์ของระยะทางที่ค่อนข้างไกล และยังต้องตอบสนองความต้องการขี่รถจักรยานยนต์ด้วย คำตอบของไมค์จึงมาลงเอยกับบิ๊กไบค์อเนกประสงค์อย่างคาวาซากิ เวอร์ซิส เครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 650 ซีซี. ในเมืองใช้ดีท่านั่งบังคับคล่องตัว ส่วนวิ่งทางไกลก็ไม่เมื่อย อีกทั้งถือเป็นตัวเลือกราคาถูกที่สุด เมื่อเทียบกับคู่แข่งรุ่นอื่นๆ ในกลุ่มรถประเภทนี้
“เลือกเวอร์ซิสเพราะว่าต้องใช้สำหรับการเดินทาง ทั้งเรื่องงานและเที่ยวด้วย รถผมวิ่งทุกฤดู ไม่มีวันหยุด เพิ่งออกมาได้ประมาณปีกว่าๆ ตอนนี้เลขไมล์วิ่งทะลุ 36,000 กม. แล้ว ส่วนของแต่งที่ใส่เข้าไปเน้นสไตล์ทัวริ่ง เลือกเฉพาะที่มีความจำเป็นและราคาไม่แพงมาก แต่ทั้งหมดที่เห็นนี่ก็เกือบหลักแสนแล้ว เริ่มจากกล่องหรือปี๊ปสามใบ กระเป๋าติดถัง สปอร์ตไลท์ แตรลม แคชบาร์หรือกันล้ม การ์ดแฮนด์ ชิลด์หน้า พักเท้าแต่ง กันดีด บังโคลนหลัง และเนวิเกเตอร์หรือ GPS ซึ่งจะขาดไม่ได้เวลาต้องไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย”
นักแสดงมาดเข้มเล่าไปพลางชี้ของแต่งให้เราได้ชมไปพลาง พร้อมเสริมต่อว่า “จนถึงตอนนี้ น้องเก้า(ทะเบียนเลข 9) ตอบโจทย์ทุกอย่างได้ครบหมดแล้ว”
แต่กว่าจะมาลงเอยกับบิ๊กไบค์ทะเบียนสวยคันนี้ เส้นทางนักบิดของเขามีสองล้อที่เคยผ่านมือมามากมาย ตั้งแต่ขนาดเล็กสุด 50 ซีซี. ไปจนถึงพิกัดเกิน 1,000 ซีซี. ซึ่งทุกคันล้วนมอบประสบการณ์และความประทับใจที่ดี ทว่ามีหนึ่งเหตุการณ์กลับตรงกันข้าม แต่เขาไม่เคยลืมเลือน
“รถแต่ละคันอยู่กับผมไม่เกิน 6 เดือน มันเป็นช่วงจังหวะที่เราได้ออกทริปไปเจอรถใหม่ๆ ในกลุ่มก็รู้สึกอยากได้บ้าง หากนับจำนวนที่เคยใช้ทั้งหมดมีมากกว่า 10 คัน สำหรับรถแรงสุดที่เคยครอบครองคือ ซูซูกิ GSXR 1100 Slingshot ส่วนเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตการขี่บิ๊กไบค์ และผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้คือ การเห็นเพื่อนโดนรถใหญ่ทับต่อหน้าต่อตา โดยทริปนั้นพวกเราขี่ไปเที่ยวกันที่ภูเก็ต ขาไปก็ปกติดีทุกอย่าง พอขากลับก่อนจะเข้ากรุงเทพอยู่แล้ว แถวๆ นครปฐมมีรถ 18 ล้อ กำลังเปลี่ยนเลน ช่วงหัวรถเขาพ้นขบวนเราไปแล้ว แต่ช่วงท้ายไม่พ้น แถมมาลากรถเพื่อนเราไปด้วย”
จากเหตุดังกล่าวทำให้ผู้สวมบทบาทนักบิดในชีวิตจริงตัดสินใจแขวนถุงมือไปนานถึง 4 ปีเต็ม
“หลังทำใจได้ ผมกลับมาทบทวนตัวเองว่าจะขี่ต่อดีมั้ย เพราะก็ยอมรับว่าเป็นคนขี่รถเร็วด้วย ไม่ใช่ว่ากลัวตาย แต่เหมือนเรายังมีอะไรต้องทำอีกตั้งเยอะ จึงขายรถทิ้งและเลิกจับสองล้อไปเลย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อความฝันของเด็กผู้ชายกับการควบสองล้อเป็นของคู่กัน ในที่สุดเขาจึงคัมแบ็กกลับมาอีกครั้ง ด้วยการเริ่มต้นใหม่กับรถขนาดเล็กเพียง 110 ซีซี. สำหรับคาวาซากิ KSR ก่อนจะมาจบที่ตัวลุยขนาด 650 ซีซี.ในปัจจุบัน
“ช่วงที่ผมเริ่มขี่บิ๊กไบค์ยังไม่มีการสอนทักษะการควบคุมที่ถูกต้องเหมือนอย่างทุกวันนี้ ความรู้ทุกอย่างเป็นการอาศัยประสบการณ์บนท้องถนนด้วยตัวเองล้วนๆ ส่วนอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ อย่างเช่นหมวกกันน็อค ถุงมือ รองเท้า ยังไม่ได้มาตรฐานเช่นกัน เปรียบเสมือนมวยวัด ตอนนั้นผมใช้รองเท้าบูทคาวบอยขี่บิ๊กไบค์ หากถามว่าใช้งานผิดประเภทมั้ย ผิดแน่นอน แต่เราก็ยังพยายามหามาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ซึ่งสมัยนั้นร้านขายก็ยังมีน้อยด้วย” ไมค์ชี้จุดแตกต่างระหว่างยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและเล่าต่อว่า
“ทฤษฎีการขี่ผมเรียนรู้จากในหนังสือและไปปฏิบัติบนถนน อย่างการเข้าโค้งเขาบอกให้ไหลเข้าไป เราก็กำคลัทช์ไหลเข้าไปเลย แต่จริงๆ คลัทช์ห้ามยุ่งและใช้แค่ตอนเปลี่ยนเกียร์เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เคยทำมามันต้องแก้ไขและทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด พอวันหนึ่งเรามีโอกาสได้ไปเรียนไรดดิ้งคอร์ส คิดในใจว่าโชคดีที่มีชีวิตรอดมาได้ในช่วงนั้น ถึงนึกทีไรก็ขำตัวเองเหมือนกัน ขี่แบบงูๆ ปลาๆ มาตั้งนาน”
ส่วนความคิดเห็นด้านกระแสบิ๊กไบค์ที่กำลังมาแรง โดยเฉพาะในสังคมคนบันเทิง นักแสดงมาดเข้มที่ใช้น้องเก้าแทนขาที่สองทิ้งท้ายแบบผู้มีประสบการณ์ว่า
“ผมว่าด้วยสภาวะแวดล้อมหลายคนพร้อมที่จะมีโดยไม่เดือดร้อน พอเห็นเพื่อนในวงการขี่กันเยอะก็ไม่ผิดที่จะขอลองด้วย ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบนั่นอีกเรื่อง แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้วงการบิ๊กไบค์ขยับขยายมากขึ้น”