ได้ยินชื่อเสียงมานานสำหรับเครื่องยนต์อีโคบู๊สต์1.0 ลิตร หรือเครื่องยนต์แบบ 3 สูบ เจ้าของรางวัลเครื่องยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีระดับนานาชาติ 2 ปีซ้อน ในปีพ.ศ.2555 และ 2556 บวกกับคำชื่นชมจากสื่อมวลชนนานาชาติ กล่าวถึงประสิทธิภาพในการขับขี่ว่าดีเยี่ยมเทียบเท่ากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1.6 ลิตร ทั่ว ๆ ไป และยังช่วยประหยัดน้ำมัน ตอบสนองได้เหนือชั้น ราบรื่นในการขับขี่ และเงียบที่สุดในจำนวนเครื่องยนต์ระดับโลกทั้งหมดของฟอร์ด
วันนี้เรามาลองพิสูจน์กันว่าจะเลิศเล่อสมคำร่ำลือหรือไม่
เพราะฟอร์ด ประเทศไทย นำเครื่องยนต์อีโคบู๊สต์1.0ลิตร มาติดตั้งอยู่ในรถฟอร์ดเฟียสต้าใหม่ พร้อมให้สื่อมวลชนไทยรวมทดสอบขับทั้งในรุ่นซีดาน 4ประตู และรุ่นแฮทช์แบ็ก5 ประตู ซึ่งเป็นการขับแบบคาราวานบนเส้นทางเชียงใหม่-สะเมิง -ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยลำปาง รวมระยะเวลากว่า 200 กิโลเมตร มีครบทั้งทางตรงและเส้นทางคดเคี้ยว ขึ้นเขา-ลงเขา
ก่อนอื่นขอพูดถึงสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงของเฟียสต้าอีโคบู๊สต์กันก่อน เริ่มจากรูปโฉมภายนอก ด้านหน้าสิ่งที่เปลี่ยนไปมีทั้งไฟหน้า กันชน ฝากระโปรง กระจกมองข้าง แต่ที่เห็นเด่นชัดจะเป็นกระจังหน้าสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่แบบซี่สีโครเมียม ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ใหม่ของรถยนต์จากค่ายฟอร์ด
ด้านท้ายเริ่มจากไฟท้ายใหม่ และติดตั้งสปอยเลอร์ด้านหลังแบบใหม่สำหรับรุ่น แฮทช์แบ็ก ส่วนรุ่นซีดาน 4 ประตู เปลี่ยนฝาท้ายและกันชนแบบใหม่ พร้อมตัดขอบกันชนด้านล่างด้วยโครเมียม เน้นความกว้างขวางของพื้นที่ใช้สอย และที่ท้ายรถด้านซ้ายก็จะมีโลโก้ Eco-Booet แปะไว้ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน ทั้งสองรุ่นมาพร้อมล้ออัลลอยลาย 15 ก้าน ขนาด 16 นิ้ว รัดด้วยยาง Continental ขนาด 195/50 R16
ทั้งหมดที่กล่าวมานอกจากจะได้รูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น วิศวกรผู้ออกแบบยังเพิ่มข้อมูลว่า การดีไซน์ทั้งหมดกินเวลากว่า 150 ชั่วโมงในอุโมงค์ลม จนทำให้การออกแบบครั้งนี้บรรลุเป้าหมายในการทำให้เฟียสต้า มีแอโรไดนามิคดีขึ้นสามารถลดแรงเสียดทานลงได้ถึง 3%
ขณะที่ภายในห้องโดยสารของฟอร์ดเฟียสต้า อีโคบู๊สต์ใหม่ ในรุ่นซีดาน 4 ประตู เลือกใช้สีทูโทน ดำ/เบจ และรุ่นแฮทช์แบ็ก5 ประตู เลือกใช้สีโทนดำ แผงควบคุมอุปกรณ์ภายใน ตัดขอบด้วยวัสดุเคลือบเงา บริเวณแผงอุปกรณ์ด้านหน้ายังตกแต่งด้วยโครเมียมแบบไม่ปัดเงาและใช้ไฟส่องสว่างสีฟ้า (Ice Blue)
นอกจากนี้ยังอัพเกรดระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC โดยไมโครซอฟท์ เพิ่มความสามารถในการใช้งานด้วยเสียงให้ง่ายขึ้น รับรู้คำสั่งได้ 15ภาษา (แต่ไม่มีภาษาไทย) ที่สำคัญยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านบลูทูธ ซึ่งทั้งหมดนี้ ฟอร์ด พยายามที่จะดึงเทคโนโลยีการเชื่อมต่อในรถยนต์ให้เป็นส่วนหนึ่งของคนยุคนี้ เพียงแค่กดปุ่มที่ด้านซ้ายบนพวงมาลัย ก็สามารถเลือกฟังเพลงที่ชอบ หรือโทรหาเพื่อน ๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ส่วนคอนโซลกลางใต้เกียร์ยังมีช่อง USB และ AUX มาให้เป็นทางเลือกสำหรับสื่อบันเทิงภายนอก ด้านอุปกรณ์มาตรฐานมีครบครัน ทั้งปุ่มสตาร์ท Smart Keyless Entry รวมทั้งระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
คราวนี้มาเข้าเรื่องการขับขี่ คันของผู้เขียนเริ่มต้นกับรุ่นซีดาน 4 ประตูซึ่งในช่วงแรกขอนั่งเป็นผู้โดยสารก่อน รู้สึกว่าสะดวกสบายพอสมควรแต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะว่าห้องโดยสารของเฟียสต้าค่อนข้างออกแนวสปอร์ต ที่นั่งจะโอบกระชับเข้ากับลำตัว อาจทำให้บางคนรู้สึกอึดอัดไปบ้าง แต่สำหรับบางคนจะชอบเบาะนั่งแบบนี้ สำหรับที่นั่งด้านหลังในความรู้สึกส่วนตัวของผู้เขียนค่อนข้างแคบไปนิดหนึ่ง เข่าเกือบจะติดกับเบาะด้านหน้า (ตัวเล็กสูงไม่ถึง 160 ซม.) นั่งไม่ค่อยสบายสักเท่าไร
หลังจากผ่านช่วงแรกไปก็ถึงคิวที่จะเป็นผู้ขับบ้าง ต้องขอบอกว่าสัมผัสแรก รู้สึกได้ถึงความคล่องตัว การออกตัวสามารถเรียกพละกำลังออกมาได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่แตะคันเร่งนิดเดียว รถก็ทะยานออกไปทันที ตอบสนองเร็วมาก เรียกได้ว่าแทบไม่มีอาการรอรอบกันเลยทีเดียว ถ้าไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเครื่อง 1.0 ลิตร นึกว่ากำลังขับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่อยู่
ช่วงทางตรง ลองกดคันเร่งยาวไปจนถึงระดับความเร็ว 120-140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้การตอบสนองค่อนข้างยอดเยี่ยม บวกกับการต่อเกียร์ที่ลื่นไหลของพาวเวอร์ชิฟ ทำให้ความเร็วมีความต่อเนื่องและดีขึ้นไปเรื่อย ๆ และหากค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักคันเร่งลงไป ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ความแรงของรถคันนี้น่าจะเปรียบเทียบได้กับเครื่องยนต์ใหญ่ ๆ อย่าง 1.6-1.8 ลิตร ได้เลย จริง จริง มันแรงเกิดคาด และมีสื่อมวลชนบางท่านสามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ประกอบกับระบบช่วงล่างที่ได้มีการปรับจูนมาใหม่ พร้อมเสริมแป้นรับยางกันกระแทก (Bump Stops) ทำให้ขับมั่นใจขึ้น ช่างล่างหนึบแน่น แม้จะวิ่งด้วยความเร็วสูง ไม่มีอาการหวิว ๆ ให้สัมผัสได้เลย แถมยังซับแรงสั่นสะเทือนได้ค่อนข้างดีในช่วงรอยต่อถนนหรือทางคอนกรีต ทั้งนี้วิศวกรฟอร์ดบอกว่า ได้ทำการถ่วงฟลายวีล ซึ่งจะช่วยลดเสียงและการสั่นจากความไม่สมดุลของเครื่องยนต์แบบ 3 สูบลงได้
สำหรับเส้นทางบางช่วง เป็นทางขึ้นเขา-ลงเขา มีโค้งต่อเนื่องตลอดทาง บวกกับการขับตามกันเป็นคาราวาน จึงไม่ได้ใช้ความเร็วสูง แต่การไต่ระดับเครื่องยนต์นั้นค่อนข้างจัดจ้าน แม้จะค่อย ๆ กดคันเร่ง รู้สึกได้ถึงพลังที่ออกมา ในช่วงที่เร่งแซงรถชาวบ้าน เพื่อตามขบวนให้ทัน บวกกับพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPAS ยังคงรักษาความแม่นยำ และหนักแน่นกำลังดี ขณะการขับขี่ทั้งความเร็วสูงและต่ำ ทำให้การลัดเลาะไปตามโค้งนั้นลื่นไหลและต่อเนื่อง การบังคับเลี้ยวในทุกย่านความเร็วถือว่าทำได้ดี ระบบเบรกทำงานดี
ความรู้สึกดังกล่าวข้างต้นคงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเครื่องยนต์ลูกนี้มีจุดเด่นตรงที่ สามารถให้พละกำลังเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ขนาด 1.6ลิตร ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า (PS) ที่ 5,500รอบต่อนาท แรงบิดสูงสุด 170 นิวตันเมตร (17.32 กก.-ม.)ที่ 1,400-4,500 รอบ/นาที (แรงบิดสูงสุด มาแบบต่อเนื่อง Flat Torque กันเลยทีเดียว) อีกทั้งยังทำอัตราสิ้นเปลืองได้ประหยัดมากถึง 18.9 กิโลเมตร/ลิตร (ตามการทดสอบแบบ UNECE Combined Mode) และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำมากเพียง 121 กรัม/กิโลเมตร
แต่อย่างที่บอก การขับขี่เป็นแบบ คาราวาน บวกกับนักข่าวแต่ละคันก็สนุกสนานกับการขับขี่จึงไม่สามารถจับอัตราสิ้นเปลื้องได้อย่างจริงจัง แต่ระดับน้ำมันที่เหลือเกือบ ¾ ของถัง และดูจากคันอื่นประกอบด้วย อัตราสิ้นเปลืองน่าจะอยู่ที่ 14-15 กิโลเมตรต่อลิตร
ในด้านความปลอดภัย ฟอร์ดเฟียสต้า อีโคบุ๊สต์ใหม่ ติดตั้งถุงลมนิรภัยทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESP)ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อยู่ในมือ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับบนถนนลื่น ๆ และอีกระบบที่ช่วยขับขึ้นและลงเนิน คือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) ช่วยเบรกรถไม่ให้ลงเนินได้สูงสุด 3 นาที ขณะที่ผู้ขับเคลื่อนเท้าจากเบรกไปยังคันเร่ง
ถึงบรรทัดนี้คงต้องบอกว่า เครื่องยนต์อีโคบู๊สต์ ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ แต่ความสนุก เร้าใจ ในการขับขี่ จะขอติก็ภายในที่ค่อนข้างแคบ โดยเฉพาะด้านหลัง ต้องแลกกับค่าตัวถึง 779,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงทีเดียว และเป็นที่มาของการตัดสินใจไม่ถูกว่า คุ้มหรือไม่ …. อย่างไรก็อยากให้ผู้อ่านลองสัมผัสด้วยตัวเอง ผมเชื่อว่าคงจะหาคำตอบได้ยากเหมือนกัน