แม้ปัจจุบันงานแสดงรถยนต์ในไทย จะจัดกันแทบเดือนเว้นเดือน แต่หากนับงานใหญ่จริงๆ ถือว่ามีเพียงสองงานช่วงต้นปีและปลายปี ที่ดำเนินการจัดงานโดย 1 ใน 3 สื่อยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของไทย “กรังด์ปรีซ์” และ “ฟอร์มูล่า” ซึ่งจัดมายาวนานกว่า 30 ครั้งแล้ว เหลือเพียงค่ายหนังสือ “ยานยนต์” ที่สงบนิ่งยังไม่ขยับใดๆ ยกเว้นร่วมกับพันธมิตรจัดงานตามต่างจังหวัด แต่จากนี้ไปจะมีอีกงานมอเตอร์โชว์ใหญ่ “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซล” ภายใต้การจัดงานของกลุ่มหนังสือยานยนต์นั่นเอง ส่วนเหตุผลทำไม? ยักษ์เพิ่งมาตื่น! และรูปแบบงานจะแตกต่างอย่างไร? มาฟังคำตอบดู...
“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่อยู่ในวงการยานยนต์ มีบริษัทรถถามและแนะนำให้จัดงานมอเตอร์โชว์ แต่ไม่ได้สนใจเพราะต้องการทำหนังสือให้ดีที่สุด จนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา สังเกตุเห็นตลาดรถมีเหตุการณ์มากมาย ทั้งในด้านดีและไม่ดี ยิ่งในช่วงปีนี้ได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก บริษัทรถต้องจัดแคมเปญดุเดือด อัตราดอกเบี้ย 0% นานตั้งแต่ 48-60-72 เดือน และของแถมอีกมากมาย สมัยก่อนอย่างเก่งแค่ 48% เพราะเขาต้องช่วยดีลเลอร์ระบายรถออกไป เราเลยมองว่าช่วงตลาดตกต่ำ หรือแต่ละปีจะมีช่วงโลว์ซีซั่น แล้วทำไม? ไม่มีใครจัดงานกระตุ้นยอดขายเลย จะมีแต่ช่วงไฮซีซั่นกันทั้งนั้น”
นั่นเป็นการเฝ้ามองตลาดรถยนต์ไทยของ “จรวย ขันมณี” ประธานและซีอีโอ บริษัท ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป จำกัด ค่ายผู้ผลิตหนังสือเกี่ยวกับยานยนต์ชื่อดังหลากหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น “ยานยนต์” และหนังสือรถที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “นักเลง…” ทั้งหลาย ไม่รวมหนังสือรายปีอื่นๆ อีก ซึ่งนำมาเป็นจุดก่อให้เกิดการขยับตัวครั้งใหญ่ในอีกไม่นาน…
“เมื่อรถยนต์ต้องผลิตออกมา แม้จะเป็นช่วงขายยาก หรือลำบากแค่ไหน แต่มันจะหยุดผลิตไม่ได้ บริษัทรถต้องหาวิธีทำให้ขายได้ อย่างที่เห็นคือการจัดแคมเปญ หรือโปรโมชั่นต่างๆ เราเลยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส น่าจะมีการจัดงานในช่วงโลว์ซีซั่น หรือหน้าฝน ประมาณสิงหาคมของแต่ละปี เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขาย-ซื้อรถ ขณะเดียวกันทุกฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด จึงเป็นที่มาในแนวคิดการจัดงานแสดงรถของกลุ่มยานยนต์สแควร์”
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคงไม่ใช่จัดเวทีให้ค่ายรถมาเปิดบูธขายของแล้วจบ เพราะปัจจุบันงานแสดงรถยนต์ หรือขายรถในไทย มีให้ค่ายรถเลือกทั้งงานใหญ่และเล็กไม่เว้นแต่ละเดือน จนเริ่มมีเสียงบ่นๆ ว่า “เยอะเกิน!” และทุกงานมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายกันอย่างดุเดือด แล้วงานแสดงรถยนต์ของกลุ่มยานยนต์จะมีความแตกต่างกันเช่นไร?
“นอกจากจะเป็นเวทีช่วยกระตุ้นการขาย-ซื้อช่วงโลว์ซีซั่น จำเป็นต้องสนับสนุนให้บริษัทรถ สามารถจัดแคมเปญ หรือมอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้า ได้อย่างน่าสนใจและเหนือกว่าทั่วๆ ไป โดยบริษัทรถสามารถทำได้จากราคาจองพื้นที่เท่ากันหมด 13.999 บาทต่อตารางเมตร แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่แต้มต่อ หรือส่วนลด ให้กับบริษัทรถที่มาร่วมออกบูธ เพื่อที่เขาจะได้นำค่าใช้จ่ายที่ต่ำ หรือลดลงไป กลับไปมอบให้กับผู้บริโภค หรือผู้มาซื้อรถในงาน”
ทั้งนี้จรวยบอกว่าจะมีเปอร์เซ็นต์ลดค่าเช่าหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่บริษัทรถที่โฆษณาตามสื่อต่างๆ เชิญชวนมาซื้อรถภายในงาน จะได้รับส่วนลดแรก 15% เพราะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับงาน และปกติแต่ละยี่ห้อจะมีชื่อชั้นต่างกัน อย่างยี่ห้อเล็กจะออกแคมเปญยังไง ย่อมสู้แคมเปญของค่ายใหญ่ไม่ได้ ตรงนี้จะให้ส่วนลดรายเล็กไปอีก 5% และหากพื้นที่ไม่ใช่ทำเลทองเอาไปเพิ่ม 5% สรุปรวมรายเล็กได้ไปมากถึง 25% และหากใครจ่ายเงินล่วงหน้าก่อนลดอีก 15% ที่สำคัญต้นทุนแฝงอย่างการ
ดังนั้นสรุปรวมค่าเช่าพื้นที่จากราคา 13,999 บาทต่อตารางเมตร จ่ายจริงสูงสุดเหลือเพียงตารางเมตรละกว่า 8,000 บาทเท่านั้น ยังไม่รวมหากมีรถใหม่มาเปิดตัวจะได้ส่วนลดอีก ซึ่งหากไปเช่าบูธงานอื่นๆ เงินกว่า 60,000 บาท จัดงานได้เพียง 5 วัน แต่งานของกลุ่มยานยนต์จัดได้ถึง 10 วัน หรือสมมุติงบเช่าบูธที่เคยจ่าย 500,000 บาท แต่งานนี้จ่ายเพียง 300,000 บาท ในเวลาและพื้นที่เท่ากัน
“เหลือเชื่อมั๊ยล่ะ เพราะเรารู้ว่าช่วงโลว์ซีซั่นต้องทำให้ต้นทุนบริษัทรถต่ำที่สุด เพื่อที่บริษัทรถจะนำส่วนที่ไม่ต้องจ่าย หรือส่วนลดดังกล่าว ไปจัดโปรโมชั่น หรือแคมเปญ มอบข้อเสนอพิเศษให้กับผู้มาซื้อรถในงาน มากอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เราจึงประกาศชัดว่าเป็นงานมหกรรมยานยนต์เพื่อขายรถที่ใหญ่สุดในอาเซียน ครบทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง ซึ่งเป็นที่มาของชื่องาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซล (Bangkok International Motor Sale) หรือเรียกสั้นๆ BIG Motor Sale โดยจะจัดครั้งแรกในวันที่ 16-24 สิงหาคม 2557 เต็มพื้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติไบเทค บางนา บอกเลยว่าไม่ใช่งานเล็กๆ แน่นอน ใหญ่เหมือนกับที่เคยมีงานมอเตอร์โชว์มาก่อน”
“ส่วนโลโก้ที่เป็นเครื่องหมายถูกในกรอบสี่เหลี่ยม มาจากความถูกใจของผู้มาร่วมออกงานและผู้มาชมงาน ราคาถูกที่สุด จากราคามาเปิดโชว์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถูกมากๆ ถูกที่สุด เพราะต้นทุนที่ต่ำจากค่าเช่าพื้นที่ และที่สำคัญปลอดจากค่าใช้จ่ายแฝงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อเสียค่าที่ถูกย่อมสามารถจัดสรรงบ ไปเปิดแค็มเปญต่างๆ เพื่อผู้ซื้อ ได้ถูกใจกันทั้งคนซื้อและคนขาย จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถูกเวลา ถูกที่ และโอเค.เลย”
พร้อมกันนี้ยังได้ขยายความหมายตัวเลข 13,999 ซึ่งมีที่มาจาก 1 คือลูกค้าต้องพอใจเป็นอันดับหนึ่ง เลข 3 ไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อมาอยู่รวมกับเลข 9 ซึ่งเป็นเลขมหามงคล และเลขนำโชคของคนไทย 3 จะดูสวยงามยิ่งขึ้น แต่จรวยยืนยันไม่ใช่หมายถึงค่ายที่ 3 ของผู้ผลิตสื่อยานยนต์รายใหญ่ ที่จัดงานมอเตอร์โชว์ในไทยอย่างที่หลายคนคิด
เมื่อพูดถึงอีก 2 บิ๊กแห่งวงการสื่อยานยนต์ และผู้จัดงานมอเตอร์โชว์มายาวนาน “ปราจิน เอี่ยมลำเนา” จากค่ายกรังด์ปรีซ์กรุ๊ป ผู้จัดงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ และ “ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์” แห่งค่ายฟอร์มูล่า ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป ว่าได้มีการปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้กันหรือเปล่า? และจะส่งผลกระทบรุนแรงหรือไม่?
“ไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้เลย และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบแน่นอน เพราะแต่ละงานห่างกันกว่า 3 เดือน ซึ่งเห็นว่าหากไปได้ดีมันน่าจะช่วยส่งเสริมกัน และช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากกว่า” เมื่อถามต่อถึงเสียงตอบรับจากค่ายรถ โดยเฉพาะปัจจุบันเริ่มมีเสียงบ่นจากบริษัทรถ ว่างานมอเตอร์โชว์ในไทย “เยอะเกิน?!”…
“เท่าที่คุยกับบริษัทรถเกือบครบแล้ว ยังไม่มีใครปฏิเสธเลยนะ ผมให้เขาพิจารณาจากความจริงไม่ต้องเกรงใจ แต่ในเมื่อเราให้เขาเต็มที่ขนาดนี้ จัดงานกระตุ้นยอดขายให้ช่วงโลว์ซีซั่น ที่สำคัญเขาจ่ายน้อย ช่วยให้ทำแคมเปญเป็นพิเศษ และยังมีกำไรด้วย ยิ่งไม่มีเหตุผลที่บริษัทรถจะปฏิเสธเลย”
ส่วนเรื่องความพร้อมของการจัดงาน เพราะถือเป็นหน้าใหม่ในธุรกิจจัดงานแสดงรถยนต์ จรวยบอกว่าได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา และผู้จัดมืออาชีพเข้ามาร่วมทำงานด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานการจัดงานระดับสากล และจะผลักดันเต็มที่เห็นจากงบประมาณลงทุนมากถึง 160 ล้านบาท ทั้งการเช่าสถานที่ ลงทุนต่างๆ และโฆษณาประชาสัมพันธ์
“สิ่งที่คาดหมายจากการจัดงานครั้งนี้ คือช่องทางการซื้อ-ขายรถที่เพิ่มขึ้น ให้วงการมีความเคลื่อนไหวที่สร้างความพอใจ ถูกใจ โดยไม่ได้คิดถึงกำไร ขอไม่ให้ขาดทุนก็พอแล้ว เพราะปกติทำหนังสือแต่ละเดือนทั้ง 4 เล่ม และรายปีอื่นๆ ถือว่าอยู่ได้ แต่เมื่อทำทั้งทีก็อยากทำให้ใหญ่ๆ ดีๆ ให้ถูกใจที่สุด”
นี่เป็นคำพูดปิดท้ายของ “จรวย ขันมณี” อีกบิ๊กแห่งวงการสื่อยานยนต์ในไทย ที่เพิ่งตื่นมาจัดงานแสดงรถยนต์กับเขาบ้าง หลังจากนิ่งมานานหลายสิบปี แต่จะถูกใจค่ายรถ ผู้ซื้อ และมาชมงานหรือไม่? ต้องรอพิสูจน์ช่วงวันที่ 16-24 สิงหาคมปีหน้า…
“ตลอดเวลาหลายสิบปีที่อยู่ในวงการยานยนต์ มีบริษัทรถถามและแนะนำให้จัดงานมอเตอร์โชว์ แต่ไม่ได้สนใจเพราะต้องการทำหนังสือให้ดีที่สุด จนเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา สังเกตุเห็นตลาดรถมีเหตุการณ์มากมาย ทั้งในด้านดีและไม่ดี ยิ่งในช่วงปีนี้ได้รับผลกระทบจากโครงการรถคันแรก บริษัทรถต้องจัดแคมเปญดุเดือด อัตราดอกเบี้ย 0% นานตั้งแต่ 48-60-72 เดือน และของแถมอีกมากมาย สมัยก่อนอย่างเก่งแค่ 48% เพราะเขาต้องช่วยดีลเลอร์ระบายรถออกไป เราเลยมองว่าช่วงตลาดตกต่ำ หรือแต่ละปีจะมีช่วงโลว์ซีซั่น แล้วทำไม? ไม่มีใครจัดงานกระตุ้นยอดขายเลย จะมีแต่ช่วงไฮซีซั่นกันทั้งนั้น”
นั่นเป็นการเฝ้ามองตลาดรถยนต์ไทยของ “จรวย ขันมณี” ประธานและซีอีโอ บริษัท ยานยนต์สแควร์ กรุ๊ป จำกัด ค่ายผู้ผลิตหนังสือเกี่ยวกับยานยนต์ชื่อดังหลากหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น “ยานยนต์” และหนังสือรถที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “นักเลง…” ทั้งหลาย ไม่รวมหนังสือรายปีอื่นๆ อีก ซึ่งนำมาเป็นจุดก่อให้เกิดการขยับตัวครั้งใหญ่ในอีกไม่นาน…
“เมื่อรถยนต์ต้องผลิตออกมา แม้จะเป็นช่วงขายยาก หรือลำบากแค่ไหน แต่มันจะหยุดผลิตไม่ได้ บริษัทรถต้องหาวิธีทำให้ขายได้ อย่างที่เห็นคือการจัดแคมเปญ หรือโปรโมชั่นต่างๆ เราเลยพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส น่าจะมีการจัดงานในช่วงโลว์ซีซั่น หรือหน้าฝน ประมาณสิงหาคมของแต่ละปี เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขาย-ซื้อรถ ขณะเดียวกันทุกฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด จึงเป็นที่มาในแนวคิดการจัดงานแสดงรถของกลุ่มยานยนต์สแควร์”
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคงไม่ใช่จัดเวทีให้ค่ายรถมาเปิดบูธขายของแล้วจบ เพราะปัจจุบันงานแสดงรถยนต์ หรือขายรถในไทย มีให้ค่ายรถเลือกทั้งงานใหญ่และเล็กไม่เว้นแต่ละเดือน จนเริ่มมีเสียงบ่นๆ ว่า “เยอะเกิน!” และทุกงานมีการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายกันอย่างดุเดือด แล้วงานแสดงรถยนต์ของกลุ่มยานยนต์จะมีความแตกต่างกันเช่นไร?
“นอกจากจะเป็นเวทีช่วยกระตุ้นการขาย-ซื้อช่วงโลว์ซีซั่น จำเป็นต้องสนับสนุนให้บริษัทรถ สามารถจัดแคมเปญ หรือมอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้า ได้อย่างน่าสนใจและเหนือกว่าทั่วๆ ไป โดยบริษัทรถสามารถทำได้จากราคาจองพื้นที่เท่ากันหมด 13.999 บาทต่อตารางเมตร แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่แต้มต่อ หรือส่วนลด ให้กับบริษัทรถที่มาร่วมออกบูธ เพื่อที่เขาจะได้นำค่าใช้จ่ายที่ต่ำ หรือลดลงไป กลับไปมอบให้กับผู้บริโภค หรือผู้มาซื้อรถในงาน”
ทั้งนี้จรวยบอกว่าจะมีเปอร์เซ็นต์ลดค่าเช่าหลายขั้นตอน เริ่มตั้งแต่บริษัทรถที่โฆษณาตามสื่อต่างๆ เชิญชวนมาซื้อรถภายในงาน จะได้รับส่วนลดแรก 15% เพราะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับงาน และปกติแต่ละยี่ห้อจะมีชื่อชั้นต่างกัน อย่างยี่ห้อเล็กจะออกแคมเปญยังไง ย่อมสู้แคมเปญของค่ายใหญ่ไม่ได้ ตรงนี้จะให้ส่วนลดรายเล็กไปอีก 5% และหากพื้นที่ไม่ใช่ทำเลทองเอาไปเพิ่ม 5% สรุปรวมรายเล็กได้ไปมากถึง 25% และหากใครจ่ายเงินล่วงหน้าก่อนลดอีก 15% ที่สำคัญต้นทุนแฝงอย่างการ
ดังนั้นสรุปรวมค่าเช่าพื้นที่จากราคา 13,999 บาทต่อตารางเมตร จ่ายจริงสูงสุดเหลือเพียงตารางเมตรละกว่า 8,000 บาทเท่านั้น ยังไม่รวมหากมีรถใหม่มาเปิดตัวจะได้ส่วนลดอีก ซึ่งหากไปเช่าบูธงานอื่นๆ เงินกว่า 60,000 บาท จัดงานได้เพียง 5 วัน แต่งานของกลุ่มยานยนต์จัดได้ถึง 10 วัน หรือสมมุติงบเช่าบูธที่เคยจ่าย 500,000 บาท แต่งานนี้จ่ายเพียง 300,000 บาท ในเวลาและพื้นที่เท่ากัน
“เหลือเชื่อมั๊ยล่ะ เพราะเรารู้ว่าช่วงโลว์ซีซั่นต้องทำให้ต้นทุนบริษัทรถต่ำที่สุด เพื่อที่บริษัทรถจะนำส่วนที่ไม่ต้องจ่าย หรือส่วนลดดังกล่าว ไปจัดโปรโมชั่น หรือแคมเปญ มอบข้อเสนอพิเศษให้กับผู้มาซื้อรถในงาน มากอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เราจึงประกาศชัดว่าเป็นงานมหกรรมยานยนต์เพื่อขายรถที่ใหญ่สุดในอาเซียน ครบทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์ตกแต่ง ซึ่งเป็นที่มาของชื่องาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แกรนด์ มอเตอร์ เซล (Bangkok International Motor Sale) หรือเรียกสั้นๆ BIG Motor Sale โดยจะจัดครั้งแรกในวันที่ 16-24 สิงหาคม 2557 เต็มพื้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติไบเทค บางนา บอกเลยว่าไม่ใช่งานเล็กๆ แน่นอน ใหญ่เหมือนกับที่เคยมีงานมอเตอร์โชว์มาก่อน”
“ส่วนโลโก้ที่เป็นเครื่องหมายถูกในกรอบสี่เหลี่ยม มาจากความถูกใจของผู้มาร่วมออกงานและผู้มาชมงาน ราคาถูกที่สุด จากราคามาเปิดโชว์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ถูกมากๆ ถูกที่สุด เพราะต้นทุนที่ต่ำจากค่าเช่าพื้นที่ และที่สำคัญปลอดจากค่าใช้จ่ายแฝงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเมื่อเสียค่าที่ถูกย่อมสามารถจัดสรรงบ ไปเปิดแค็มเปญต่างๆ เพื่อผู้ซื้อ ได้ถูกใจกันทั้งคนซื้อและคนขาย จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถูกเวลา ถูกที่ และโอเค.เลย”
พร้อมกันนี้ยังได้ขยายความหมายตัวเลข 13,999 ซึ่งมีที่มาจาก 1 คือลูกค้าต้องพอใจเป็นอันดับหนึ่ง เลข 3 ไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อมาอยู่รวมกับเลข 9 ซึ่งเป็นเลขมหามงคล และเลขนำโชคของคนไทย 3 จะดูสวยงามยิ่งขึ้น แต่จรวยยืนยันไม่ใช่หมายถึงค่ายที่ 3 ของผู้ผลิตสื่อยานยนต์รายใหญ่ ที่จัดงานมอเตอร์โชว์ในไทยอย่างที่หลายคนคิด
เมื่อพูดถึงอีก 2 บิ๊กแห่งวงการสื่อยานยนต์ และผู้จัดงานมอเตอร์โชว์มายาวนาน “ปราจิน เอี่ยมลำเนา” จากค่ายกรังด์ปรีซ์กรุ๊ป ผู้จัดงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ และ “ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์” แห่งค่ายฟอร์มูล่า ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ หรือมอเตอร์ เอ็กซ์โป ว่าได้มีการปรึกษาพูดคุยเรื่องนี้กันหรือเปล่า? และจะส่งผลกระทบรุนแรงหรือไม่?
“ไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้เลย และเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบแน่นอน เพราะแต่ละงานห่างกันกว่า 3 เดือน ซึ่งเห็นว่าหากไปได้ดีมันน่าจะช่วยส่งเสริมกัน และช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากกว่า” เมื่อถามต่อถึงเสียงตอบรับจากค่ายรถ โดยเฉพาะปัจจุบันเริ่มมีเสียงบ่นจากบริษัทรถ ว่างานมอเตอร์โชว์ในไทย “เยอะเกิน?!”…
“เท่าที่คุยกับบริษัทรถเกือบครบแล้ว ยังไม่มีใครปฏิเสธเลยนะ ผมให้เขาพิจารณาจากความจริงไม่ต้องเกรงใจ แต่ในเมื่อเราให้เขาเต็มที่ขนาดนี้ จัดงานกระตุ้นยอดขายให้ช่วงโลว์ซีซั่น ที่สำคัญเขาจ่ายน้อย ช่วยให้ทำแคมเปญเป็นพิเศษ และยังมีกำไรด้วย ยิ่งไม่มีเหตุผลที่บริษัทรถจะปฏิเสธเลย”
ส่วนเรื่องความพร้อมของการจัดงาน เพราะถือเป็นหน้าใหม่ในธุรกิจจัดงานแสดงรถยนต์ จรวยบอกว่าได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา และผู้จัดมืออาชีพเข้ามาร่วมทำงานด้วย ซึ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานการจัดงานระดับสากล และจะผลักดันเต็มที่เห็นจากงบประมาณลงทุนมากถึง 160 ล้านบาท ทั้งการเช่าสถานที่ ลงทุนต่างๆ และโฆษณาประชาสัมพันธ์
“สิ่งที่คาดหมายจากการจัดงานครั้งนี้ คือช่องทางการซื้อ-ขายรถที่เพิ่มขึ้น ให้วงการมีความเคลื่อนไหวที่สร้างความพอใจ ถูกใจ โดยไม่ได้คิดถึงกำไร ขอไม่ให้ขาดทุนก็พอแล้ว เพราะปกติทำหนังสือแต่ละเดือนทั้ง 4 เล่ม และรายปีอื่นๆ ถือว่าอยู่ได้ แต่เมื่อทำทั้งทีก็อยากทำให้ใหญ่ๆ ดีๆ ให้ถูกใจที่สุด”
นี่เป็นคำพูดปิดท้ายของ “จรวย ขันมณี” อีกบิ๊กแห่งวงการสื่อยานยนต์ในไทย ที่เพิ่งตื่นมาจัดงานแสดงรถยนต์กับเขาบ้าง หลังจากนิ่งมานานหลายสิบปี แต่จะถูกใจค่ายรถ ผู้ซื้อ และมาชมงานหรือไม่? ต้องรอพิสูจน์ช่วงวันที่ 16-24 สิงหาคมปีหน้า…