xs
xsm
sm
md
lg

สัมผัสแรก เอส-คลาสใหม่ ที่สุดรถหรู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โตรอนโต ประเทศแคนาดา คือเมืองที่รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับความนิยมอย่างมากมาย โดยเฉพาะเอส-คลาสถือเป็นรุ่นรถที่มียอดขายสูงสุดของคนในประเทศนี้ และด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงกลายเป็นที่มาของการเดินทาง 20 กว่าชั่วโมงของสื่อมวลชนไทยพร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลก เพื่อไปสัมผัสรถคันจริง ตัวเป็น ๆ กัน

เอส-คลาส เผยโฉมต่อสาธารณะชนครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ณ ดินแดนบ้านเกิด และมาพร้อมกับความใหม่สดตลอดทั้งคัน บวกกับความหรูตามแบบฉบับค่ายดาว 3 แฉก

จะว่าไปแล้ว เอส-คลาส เป็นเจนเนอเรชันรถยนต์ระดับหรูที่อยู่คู่กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ มานาน และมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด และหากนับเฉพาะการแปะป้ายว่าเป็นเอส-คลาสจริง ๆ แล้ว โฉมใหม่ที่เรากำลังจะกล่าวถึงจะเป็น เจนเนอเรชั่นที่ 6

ทำความรู้จักเอส-คลาสใหม่

รุ่นใหม่นี้เป็นโมเดลเชนจ์ที่มากับรหัสตัวถังใหม่ W222 และเรือนร่างที่มีความปราดเปรียวและเพรียวลมขึ้นด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ CD อยู่ที่ 0.24 ดีขึ้นจากรุ่นเดิม ซึ่งอยู่ในระดับ 0.26

ในแง่ของการออกแบบเอส- คลาส ใหม่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด The Essence of Luxury เพื่อสะท้อนถึงความเป็นที่สุดของยานยนต์ระดับหรู อีกทั้งยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ ๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในตลาด

รูปลักษณ์ภายนอกยังมากับตัวถังแบบ 4 ประตูซีดาน เส้นสายบนตัวถังสะท้อนถึงความหรู และความเพรียวลมในขณะพุ่งทะยานไปข้างหน้า ขณะเดียวกันแนวทางการออกแบบไฟหน้า-กระจังหน้าก็อิงกับเอกลักษณ์ใหม่ของเบนซ์ ซึ่งหันมาใช้กรอบไฟหน้าแบบทรงเหลี่ยมยาว รวมถึงหลอดแบบ LED มากขึ้นด้วย โดยไฟหน้ามีมากถึง 56 ดวง และ 35 ดวง สำหรับไฟท้าย ส่วนในห้องโดยสารมีใช้มากถึง 300 ดวง เลยทีเดียว

ขนาดตัวถังต้องบอกว่างานนี้เกินหลัก 5 เมตร โดยมีให้เลือก 2 แบบ ถ้าเป็นรุ่นฐานล้อปกติจะมีความยาว 5,116 มิลลิเมตร และ 5,248 มิลลิเมตร สำหรับรุ่นฐานล้อยาว โดยเพิ่มจากรุ่นเดิม 40 และ 42 มิลลิเมตร ตามลำดับ ส่วนระยะฐานล้อจะอยู่ที่ 3,035 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นปกติ และ 3,165 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นฐานล้อยาว หรือเพิ่มขึ้น 31 และ 24 มิลลิเมตร ตามลำดับ ตรงนี้จะส่งผลต่อเนื่องไปยังความกว้างขวางและสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ซึ่งมีทั้ง Headroom และ Legroom เพิ่มขึ้น
ภายใน รุ่น S500
ภายในห้องโดยสารยังคงเน้นความหรูหราสไตล์เบนซ์ ตกแต่งด้วยวัสดุชั้นดี และเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยี ซึ่งตรงแผงคอนโซลกลางจะมีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว เป็นตัวควบคุมการทำงานของระบบส่วนกลาง เช่นเดียวกับการทำหน้าที่ในการแสดงผลของระบบนำทาง

ส่วนเครื่องยนต์มีหลากหลายแต่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เน้น คือ เครื่องยนต์ไฮบริด ส่วนจะเป็นรุ่นใดบ้าง ดูจากตารางนะครับ

จุดเด่นขนมาเพียบ

เมื่อเอส-คลาส เป็นเรือธง หรือ Flagship ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาติดตั้งเพียบ บางระบบก็เป็นการติดตั้งครั้งแรก ก่อนที่จะกระจายออกสู่ซีรี่ส์ต่างๆที่อยู่ในระดับต่ำกว่า ซึ่งแน่นอนว่าในรุ่นใหม่อย่าง W222 มีการนำของใหม่มาติดตั้งมากมายเพื่อให้เป็นที่สุดของยนตรกรรมระดับหรู

สำหรับเทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้มีมากมาย โดยจะถูกติดตั้งทั้งภายนอกตัวรถและภายในห้องโดยสาร ทั้งระบบอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย หรือเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ เรียกว่า W222 เป็นรถที่เพียบพร้อมด้วยความล้ำสมัย

สำหรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ติดตั้งอยู่ภายในตัวรถประกอบไปด้วย

Suspension with E: ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ระบบช่วงล่างมีการติดตั้ง...... ซึ่งStereo Camera ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับดวงตาในการสแกนสภาพพื้นผิวถนน และปรับระบบช่วงล่างให้สอดคล้องกับเส้นทางข้างหน้า โดยจะเป็นการสอดประสานการทำงานระหว่างระบบ AIRMATIC ความหนืดของช่วงล่างอัตโนมัติ กับระบบควบคุมการทรงตัว หรือ MAGIC Body CONTROL เข้าด้วยกัน เช่นระบบควบคุมการโคลงของตัวถัง หรือ ABC , ระบบช่วงล่างแบบถุงลมแบบปรับได้ และระบบพวงมาลัยแบบ Electro-Mechanical Direct-Steer System ที่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมรถได้มากกว่าระบบพวงมาลัยแบบ Mechanical แบบเดิม ๆ หรือระบบ Night Vision ซึ่งสามารถตรวจสอบสิ่งกีดขวางที่อยู่ด้านหน้าได้ทั้งคน และสัตว์

-Adaptive Highbeam Assist Plus : มีการปรับระดับการส่องสว่างของไฟหน้ารถให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทาง นั่นหมายถึงเมื่อเราเปิดไฟหน้าเวลาขับรถ หากมีรถสวนมา ไฟหน้าจะปรับความความสว่างลดลง เพื่อมิให้ไปรบกวนรถที่ขับสวนมา ซึ่งสามารถปรับได้ทั้งอัตโนมัติและตามความต้องการของคนขับ

ระบบไฟส่องสว่างของรถ: ถือเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ เอส-คลาส ไม่ได้ใช้หลอดไฟแบบเดิมเลย แต่เปลี่ยนมาใช้หลอด LED สำหรับระบบส่องสว่างทั้งหมด โดยมีจำนวนหลอด LED ภายในตัวรถเกือบ 500 หลอด สำหรับใช้กับไฟคู่หน้า ไฟเบรก ไฟท้าย หรือไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสาร

Distronic Plus with Steering Assist and Stop & Go: ระบบนี้จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ในแง่ของการลดภาระการขับโดยระบบจะช่วยรักษาระยะห่างที่เหมาะสมจากรถยนต์คันหน้าเพื่อความปลอดภัย ทั้งบนเส้นทางที่โล่ง หรือท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด สามารถทำงานในระดับความเร็วไม่เกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง อีกทั้งตัวระบบบังคับเลี้ยวยังออกแบบให้ควบคุมตำแหน่งของตัวรถให้อยู่ตรงกลางของช่องทางเมื่อขับบนเส้นทางตรงยาว และจะปรับให้รถเลี้ยวโค้งตามเส้นทางได้ด้วย ส่วนระบบ Stop & Go จะทำงานในระดับความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของตัวในขณะที่อยู่บนท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด 

Attention Assist : เปิดตัวครั้งแรกในปี 2009 และรุ่นนี้มีการพัฒนาขึ้นใหม่อีกระดับเพื่อช่วยลดอาการหลับในระหว่างขับ โดยระบบจะตรวจสอบสภาพผู้ขับขี่โดยจับไปที่อาการเคลื่อนที่ของศรีษะและเปลือกตา ซึ่งจะระบุได้ว่าผู้ขับขี่เริ่มที่จะมีอาการเหนื่อยล้าจากการขับหรือไม่ และจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับความเร็ว 60-200 กิโลเมตร /ชั่วโมง ซึ่งถ้ามีการตรวจพบว่ามีแนวโน้มว่าผู้ขับขี่จะเกิดอาการหลับในก็จะส่งเสียงเตือน

Break Assist System BAS Plus wiyh Cross-Traffic Assist : ระบบนี้มีการพัฒนาให้สามารถตรวจจับการข้ามถนนของคนเดินถนน หรือรถเลี้ยวข้ามช่องทางเพื่อให้ระบบสามารถสั่งเพิ่มแรงเบรกในกรณีที่มีการเดินตัดหน้า โดยจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับความเร็วไม่เกิน 72 กิโลเมตร/ ชั่วโมง

Air balance Package : เป็นระบบปรับอากาศในรถที่มีการพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองในแง่ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้อย่างเต็มที ทั้งในเรื่องของการแยกส่วนการปรับระดับอุณหภูมิทั้งฝั่งซ้าย-ขวา และด้านหน้า-หลัง รวมถึงยังเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งระบบที่เรียกว่า Active Perfuming System ซึ่งจะช่วยเพิ่มบรรยากาศที่ผ่อนคลายภายในห้องโดยสารด้วยกลิ่นที่เหมาะสม ซึ่งมีให้เลือก 4 แบบด้วยกัน FREESIDE MOOD ,NIGHTLIFE MOOD ,DOWNTOWN MOOD และ SPORTS MOOD

ระบบ PRE-SAFE แบบ EXTENDED: ได้รับการขยายความสามารถในการทำงานเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่ของการเบรกเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการชนรถหรือคนขณะที่ขับด้วยความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองไปจนถึงการลดความเสี่ยงจาการถูกชนท้าย

นอกจากนี้ในส่วนของห้องโดยสารยังมีการติดตั้งระบบอุ่นเพื่อช่วยลดความหนาวในขณะขับ เช่น พวงมาลัย เบาะนั่ง พนักพิงหลัง พนักเท้าแขน

ทั้งหมดเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ใส่แบบเต็มแม็ก เพื่อให้สมกับเป็นยานยนต์สุดหรู

ลองสัมผัสครั้งแรก

สำหรับกิจกรรมวันแรกของการมาสัมผัสเอส-คลาส พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลก โดยทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้อธิบายถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ของเอส-คลาสใหม่พร้อมกับให้พวกเราได้ลองขับ DRIDING SIMULATOR ก่อนหลังจากนั้นช่วงบ่ายเจ้าหน้าที่เบนซ์พาเราไปนั่งเอส-คลาสใหม่ โดยมีคนขับรถพาพวกเราท่องเที่ยวในเมืองโตรอนโต

วันที่สองซึ่งเป็นวันที่เราจะได้ลองขับรถอย่างจริงจัง พร้อมกับเป็นวันที่จะต้องเดินทางกลับเมืองไทยด้วย ทุกคนต้องตื่นเช้าเพื่อไปรับฟังรายละเอียดก่อนทดลองขับรถ โดยในช่วงเช้าเราจะออกเดินทางจากโรงแรมไปสนามบิน Muskokaเป็นระยะทาง 180กิโลเมตร โดยให้เวลาการขับถึงที่หมายปลายทาง 2 ชั่วโมง

10 ชีวิตจากเมืองไทย แยกย้ายกันประจำรถ และเริ่มออกเดินทาง รุ่นแรกที่ผู้เขียนได้สัมผัส เป็น S500 เครื่องยนต์วี 8 มีความจุระดับ 4,700 ซีซี โดยมีกำลังสูงสุดที่ 455 แรงม้า และแน่นอนเหมือนทุกครั้ง เจ้าหน้าที่จะเข้ามาเซ็ทระบบนำทางให้กับทุกคน เพื่อให้เราไปถึงจุดหมายได้ถูกต้อง ไม่มีหลง อีกทั้งรถยังเป็นพวงมาลัยซ้ายอีกต่างหาก เมื่อทุกอย่างพร้อม คน-รถ ล้อเริ่มหมุนอย่างช้า ๆ ๆ

ไม่ต้องบอกเมื่อเข้าไปนั่ง ทุกอย่างดูดี ดุหรูไม่หมด ปุ่มเยอะแยะ เบาะนุ่มนั่งสบายมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า - ด้านหลัง ยิ่งเบาะหลังทั้งสองข้างจะมีจอดติดอยู่พนักพิงของเบาะคู่หน้า คนละจอ ส่วนตัวมาก สมกับเป็นรถหรูของคนมีกระตังค์จริง ๆ
ก่อนออกเดินทาง มีการอธิบายเกี่ยวกับตัวรถให้ฟังก่อน
รถทุกคนวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 30-50 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ในช่วงแรกเพราะอยู่ในเมือง บวกกับมีจักรยานเยอะมากและกฎของที่นี่จะต้องให้จักรยาน และคนข้ามถนน ไปก่อน แม้ว่าพวกเขาจะขี่ช้า เดินช้าก็ตาม

หลังขับเข้าสู่ถนนบนทางด่วน ก็ไม่สามารถวิ่งเร็วได้เช่นกัน เนื่องจากมีป้ายติดข้างทางตลอดการเดินทางว่า 80 กิโลเมตร โอกาสที่จะเหยียบเกินนี้มีนิดหน่อย แต่ก็ต้องกลับในความเร็วเท่าเดิม เพราะถ้าถูกจับจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับการขับขี่ไม่ต้องพูดถึงสำหรับ S500 แรงเหลือเฟือยไม่ว่าจะออกตัว ทางตรง ทางโค้ง พวงมาลัยเบา แม่นยำ เลี้ยวง่าย ช่วงล่างนุ่มนิ่ม นั่งแล้วสบาย ไม่โคลงเคลง บวกกับถนนในบ้านเมืองเขา เรียบไม่มีหลุม บ่อ ห้องโดยสารเงียบ เบาะนั่งอย่างดี ทุกอย่างเลยลงตัว ทั้งรถและความรู้สึกที่สัมผัส

เมื่อเราไปถึงจุดหมายแรก ...สนามบิน Muskoka ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เปิดพื้นที่จัดโชว์จุดเด่นของเอส-คลาสใหม่ เพื่อให้สื่อมวลชนที่มาได้ลอง อันดับแรกคือการโชว์เทคโนโลยีในเรื่องการที่มีวัตถุวิ่งตัดหน้า รถจะเบรกให้เองทันที ส่วนอีกอันเป็นเรื่องของควบคุมรถไม่ให้ชนคันหน้าในกรณีที่ขับไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยรถคันของเราจะขับตามคันหน้าไป คันหน้าเบรก รถเราก็จะเบรกโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ก็มีการโชว์ระบบ PRE-SAFE ,การเข้าจอดในซอง ระหว่างกลางได้โดยอัตโนมัติ เพียงแค่เราเข้าเกียร์ให้ รถจะกะระยะและหมุนพวงมาลัยเอง เป็นต้น

ขณะเดียวกันทางเบนซ์ จัดรถรุ่น S350 ดีเซล ไฮบริด ให้สื่อมวลชนได้ลองขับ โดยขับขี่อยู่ในเมืองใกล้ ๆ ซึ่งรุ่นนี้หากใช้ความเร็วต่ำถึงปานกลางจะเป็นการขับแบบไฟฟ้าล้วนๆ แต่ถ้าเกิน 100-120 กิโลเมตร อาจแรงไม่เท่ากับตัวอื่น ๆ

ขากลับมีการสลับรถกัน โดยมีระยะการทดลองขับเป็นระยะทาง 135 กิโลเมตร และให้ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที มายังMuskoka Lake Marine รอบบ่ายรถของเราเปลี่ยนมาเป็น S350 ดีเซล ความรู้สึกในการขับตัวนี้ ไม่ค่อยแตกต่างจาก S500 สักเท่าไรเมื่อขับขี่บนถนน คือแรงทั้งคู่ เพียงแต่รุ่นนี้จะประหยัดน้ำมันมากกว่า เนื่องจากเป็นเครื่องดีเซล ส่วนอัตราการประหยัดน้ำมันดูจากตารางประกอบ

เมื่อถึงจุดหมายที่สองถือว่าสิ้นสุดการทดสอบขับ เอส-คลาส แต่ก่อนที่พวกเราจะเดินทางไปสนามบิน เรามีโอกาสได้นั่งเป็นแขกอีกครั้ง โดยมีนักแข่งรถขับมาส่งเราที่สนามบิน อีก 100 กว่าโล เล่นเอาหลับไปเลย มาตื่นอีกทีก็ต้องเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับบ้านแล้ว

อย่างไรก็ตาม รถที่ได้ลองขับทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังไม่มีแผนจะนำเข้ามาจำหน่าย ส่วนรุ่นที่จำหน่ายเป็น S400 เบนซิน ไฮบริด เครื่อง 3500 ซีซี ก่อนช่วงแรกและคงจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้ ส่วน ต้นปีหน้าน่าจะเป็น S300 ดีเซล ไฮบริด ส่วนราคานั้นต้องมาลุ้นกันอีกทีหนึ่ง

แน่นอนเมื่อรถดีเช่นนี้จึงไม่แปลกใจที่ยอดขายเอส-คลาสในไทยจะสูงกว่าคู่แข่งเกิน 50% ในเซกเม้นท์เดียวกัน บางเดือนสูงถึง 60 % ดังนั้นเชื่อขนมกินได้เลยเมื่อเอส-คลาส ใหม่เปิดตัว คงจะรักษาแชมป์ พร้อมสร้างยอดขายได้ไม่ยาก เพราะเทคโนโลยีใหม่ขนใส่มาซะเต็มยศ ส่วนการขับขี่ไม่ต้องพูดถึง หรูหราระดับนี้ไม่มีผิดหวังชัวร์ .





ภายใน รุ่น  S 350


ก็มีการโชว์ระบบ PRE-SAFE

รถจอดเป็นสิบรอให้นักข่าวทดลองขับ
กำลังโหลดความคิดเห็น