เจเนอเรชันที่สามของ “เลกซัส ไอเอส” (Lexus IS) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย พร้อมรับจองทันทีที่งานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2013 ซึ่งถือว่ารวดเร็วครับ เพราะตลาดโลกเพิ่งเผยโฉมหน้าให้เห็นในงานดีทรอยต์มอเตอร์โชว์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับ “เลกซัส ไอเอส ใหม่” รหัส XE30 เพิ่งจะนำเข้ามาจากญี่ปุ่นพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ขณะที่“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ขอนำรุ่น IS300h ไฮบริดมาลองขับ เพราะน่าจะเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม หรือขายเป็นหลักมากกว่า IS250 F-Sport
สำหรับ IS300h ไฮบริด ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท และ IS250 F-Sport ที่วางเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 2.5 ลิตร ราคา 3.99 ล้านบาท เรียกว่ามีส่วนต่างห่างกัน 1 ล้านบาทหากคุณต้องการรูปลักษณ์สปอร์ตเต็มขั้น และอารมณ์การขับขี่ดุดันจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน
แน่นอนครับกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนล้วนๆ และรถที่ใช้ระบบไฮบริดที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานประสานกัน ย่อมให้บุคลิกในการขับขี่ต่างกัน ซึ่งประเด็นนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลและเงินในกระเป๋า
แต่ถ้าถามทางเลือกความคุ้มค่า ชั่วโมงนี้ต้องยกให้รถแบบไฮบริดที่ทำราคาได้น่าสนใจจากการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล (เสียภาษีสรรพสามิต 10%) พร้อมได้ขับรถที่ได้ชื่อว่ารักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ประหยัดน้ำมัน ปล่อยมลพิษต่ำ ที่สำคัญขึ้นชื่อว่าระบบไฮบริดของโตโยต้าแล้ว ต้องถือว่าเป็นสุดยอดของโลก และยิ่งพัฒนามาประจำการในรถหรูอย่างเลกซัส คุณจะได้ทุกอย่างที่กล่าวมา แถมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่หลากหลาย เลือกได้ตามความต้องการ
ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร DOHC 16วาล์ว VVT-i 181 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 140 แรงม้า และเมื่อผสานการทำงานร่วมกันสามารถให้กำลังได้สูงสุดถึง 223 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT 6 สปีด ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ แบบธรรมดา (Normal), สปอร์ต(Sport), สปอร์ต พลัส (Sport +) อีโค (Eco) และแบบ EV โหมด
...อาจจะเหมือนเรื่องเก่าเล่าใหม่สำหรับการเลือกโหมดการขับขี่ แต่กระนั้นก็คงต้องย้ำกันทุกครั้งครับ เพราะโหมดต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นประเด็นขายของรถ และน่าจะเป็นออปชันที่ได้ใช้งาน(จริง) บ่อยอยู่เหมือนกัน
ไล่ไปที่ละโหมดนะครับ อย่าง EV นี่อาจจะไม่ได้อยู่รวมกับ Drive Mode Select ที่ใช้มือหมุนเลือกรูปแบบการขับขี่ เพราะเจ้าปุ่มนี้จะถูกแยกออกมาต่างหาก ซึ่ง EV โหมด หรือการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่พึ่งกำลังของเครื่องยนต์ จะสามารถวิ่งได้บนความเร็ว ถึง 55 กม./ชม. กับระยะทาง 2 กิโลเมตร ซึ่งจะได้ใช้โหมดนี้หรือไม่ และวิ่งได้ใกล้ไกลขนาดไหนต้องขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่แบบ นิเกิลเมทัลไฮดรายด้วย
ส่วนโหมดอีโคก็ตามชื่อครับ และก็เหมือนกับ อีโคของรถยนต์รุ่นอื่นๆ คือ จะช่วยให้ผู้ขับประหยัดน้ำมันได้สูงสุด จากการจัดการระบบพลังงานในรถยนต์ ทั้งระบบ (พัดลม) แอร์ ที่เอาแค่ฉ่ำกำลังดี พร้อมการตอบสนองของคันเร่ง ที่จะไม่จี๊ดจ๊าดมาก ซึ่งขับในโหมดนี้ก็จะเหมือนรถอืดนิดๆ ละครับ
ส่วนในโหมดธรรมดา เป็นบุคลิกพื้นฐานของ IS300h ที่ผู้เขียนว่าการตอบสนองของระบบไฮบริด ทำได้ดีพอสมควร ทั้งอัตราเร่ง ที่เครื่องยนต์ จะได้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า มาเสริมช่วย ซึ่งการผสานของขุมพลังลูกผสมนี้ ยังเนียน ลื่น ขับขี่ได้เพลินๆ
อย่างไรก็ตามช่วงล่างออกแนวนุ่มไปนิดครับ โดยด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ หลังเป็นแมคเฟอร์สันสตรัท ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 225/45 R17 รองรับการขับขี่ในเมืองสบาย ซับแรงจากพื้นถนนได้ดี วิ่งทางไกลยังนิ่ง ขณะที่พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า เซ็ทน้ำหนักมาสมดุล ควบคุมได้แม่นยำ
เหนืออื่นใดถ้าอยากได้ช่วงล่างที่หนึบหนับ หวังขับความเร็วสูง พร้อมพวงมาลัยที่หนืดหน่วงขึ้นมาอีกนิดต้องไปที่ สปอร์ต พลัส ครับ ย้ำว่าสปอร์ต พลัสนะครับ ถึงจะได้อารมณ์แบบ เต็มๆ เพราะถ้าเลือกเพียงโหมดสปอร์ต รถจะจัดการเรื่องการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เร้าใจขึ้นเท่านั้น ยังไม่ได้เข้ามาจัดการที่แฮนด์ลิง และระบบช่วงล่าง
ขณะเดียวกันเลกซัสยังมีลูกเล่นที่หน้าปัดแสดงผล โดยวงด้านซ้ายจะเป็นเข็มวัดระดับความเร็วแบบอะนาลอก แต่วงด้านขวาจะเป็นแบบดิจิตอล ซึ่งการขับในโหมดธรรมดา จะแสดงผลเป็นการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ว่า กำลังใช้กำลังไฟ (Power) หรือกำลังชาร์จพลังกลับเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ (Charge) แต่ถ้าคุณเลือกโหมดสปอร์ต หน้าจอดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นภาพแสดงการวัดผลของรอบเครื่องยนต์ เหมือนรถทั่วๆ ไป
ดูเพลินเล่นสนุกดีกับออปชันพวกนี้ แต่กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ลืมสังเกต รอบของเครื่องยนต์ที่ความเร็วนิ่งๆ ระดับ 120 กม./ชม. อยู่ไม่ถึง 2,000 รอบครับ หรือน่าจะแถวๆ 1,800 รอบ และนี่ละครับแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบไฮบริดได้เป็นอย่างดี ว่าเครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักแบกภาระอยู่ผู้เดียว เพราะจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นเพื่อนช่วยแบ่งเบา ซึ่งจะช่วยทั้งเรื่องอัตราบริโภคน้ำมัน ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ (แต่ไปมีภาระที่มอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่แทน) พร้อมยังรักษาสมรรถนะการขับขี่ในระดับที่ผู้ขับต้องการเอาไว้
ทั้งนี้เลกซัส แจ้งว่า IS250S สามารถวิ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 200 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 8.5 วินาที พร้อมเคลมอัตราบริโภคน้ำมันไว้ 20.4 กม./ลิตร ขณะที่การทดสอบของผู้เขียนยังเห็นตัวเลข 16-17 กม./ลิตร สบายๆ
ในส่วนการออกแบบภายในมากับแนวเรียบหรู แผงคอนโซล เบาะนั่ง เก็บงานละเอียด เนี้ยบปราณีต เรื่องของออปชันการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆใช้งานง่ายครับ ควบคุมผ่านพวงมาลัย และบริเวณคอนโซลกลาง และไปดูหน้าจอแสดงผลได้หน้าจอสีขนาด 7 นิ้วบนแผงแดชบอร์ดหน้า หรือจะไปดูที่เมนูย่อยที่แสดงผลระหว่าง เรือนไมล์วัดความเร็วด้านหน้าก็ได้
การเก็บเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารต้องบอกว่า เทียบชั้นรถหรูยุโรป อย่าง ซีรีย์ 3 และซี-คลาสได้สบาย ยิ่งเป็นระบบไฮบริดที่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบ จนไม่รู้สึกว่ามีเครื่องยนต์อยู่แล้วละครับ
….อีกจุดที่ต้องชมและผู้เขียนว่าให้ความรู้สึกดี นั่นคือการตอบสนองของแป้นเบรก เพราะโดยปกติรถไฮบริดจะเป็นเบรกไฟฟ้า ไม่มีหม้อลมเบรก และอาศัยการจำลองแรงต้านของเบรก ส่งผลให้การเหยียบเบรกดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่แปลกๆไป แต่ไม่ใช่กับ IS300h ที่ให้สัมผัส แน่น มั่นใจ ระยะชะลอหยุดแม่นยำ แถมนุ่มนวลไม่มีอาการหน้าทิ่มหัวจิก
สำหรับเบรกของ IS300h เป็นดิสก์ทั้งสี่ล้อ มาพร้อมกับระบบ VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ระบบจัดการรวมไดนามิคที่เป็นพ่อใหญ่ในการควบคุม Traction Control ระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบVSC ควบคุมการทรงตัว ตลอดจนระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ให้ประสานประสิทธิภาพได้ความปลอดภัยสูงสุด ขณะเดียวกันยังติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า,หัวเข่า,ด้านข้าง และม่านถุงลมมาให้รวม 8 ใบ (รุ่นLuxury package จะเสริมถุงลมด้านข้างสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้อีกฝั่งละใบ)
สำหรับ IS300h ที่ผู้เขียนนำมาลองขับเป็นแบบLuxury packageราคา 2.99 ล้านบาท แต่รุ่น Premium packageราคา 3.49 ล้านบาท จะเพิ่มออปชัน อาทิ ไฟหน้าแบบLED (Luxury package เป็น HID) ระบบปัดน้ำฝนแบบมีเซ็นเซอร์อัตโนมัติ ม่านบังแดดหลัง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง (Memory seat) ระบบเนวิเกเตอร์พร้อมแสดงข้อมูลการจราจรแบบรีลไทม์ รวมถึงปุ่มควบคุมแบบเมาส์หรือ Remote Touch Interface (RTI)
รวบรัดตัดความ…รักไม่ยุ่ง ไม่มุ่งดีเซล เลกซัส ประเทศไทยเน้นทำตลาดไฮบริดชัดเจน ด้วยเทคโนโลยี และสมรรถนะที่ถึงวันนี้พัฒนาไปเทียบเท่าแบรนด์หรูจากยุโรป ซึ่ง IS300h ใหม่ นับเป็นสปอร์ตไฮบริด ที่ตอบสนองครบทุกความต้องการ แต่ทว่า BMW 320d ก็ขับดี ออปชันเพียบ ประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน…ตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ!!!
สำหรับ “เลกซัส ไอเอส ใหม่” รหัส XE30 เพิ่งจะนำเข้ามาจากญี่ปุ่นพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ขณะที่“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ขอนำรุ่น IS300h ไฮบริดมาลองขับ เพราะน่าจะเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม หรือขายเป็นหลักมากกว่า IS250 F-Sport
สำหรับ IS300h ไฮบริด ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท และ IS250 F-Sport ที่วางเครื่องยนต์ วี6 ขนาด 2.5 ลิตร ราคา 3.99 ล้านบาท เรียกว่ามีส่วนต่างห่างกัน 1 ล้านบาทหากคุณต้องการรูปลักษณ์สปอร์ตเต็มขั้น และอารมณ์การขับขี่ดุดันจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน
แน่นอนครับกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนล้วนๆ และรถที่ใช้ระบบไฮบริดที่เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานประสานกัน ย่อมให้บุคลิกในการขับขี่ต่างกัน ซึ่งประเด็นนี้แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคลและเงินในกระเป๋า
แต่ถ้าถามทางเลือกความคุ้มค่า ชั่วโมงนี้ต้องยกให้รถแบบไฮบริดที่ทำราคาได้น่าสนใจจากการสนับสนุนด้านภาษีจากรัฐบาล (เสียภาษีสรรพสามิต 10%) พร้อมได้ขับรถที่ได้ชื่อว่ารักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ประหยัดน้ำมัน ปล่อยมลพิษต่ำ ที่สำคัญขึ้นชื่อว่าระบบไฮบริดของโตโยต้าแล้ว ต้องถือว่าเป็นสุดยอดของโลก และยิ่งพัฒนามาประจำการในรถหรูอย่างเลกซัส คุณจะได้ทุกอย่างที่กล่าวมา แถมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่หลากหลาย เลือกได้ตามความต้องการ
ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร DOHC 16วาล์ว VVT-i 181 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลัง 140 แรงม้า และเมื่อผสานการทำงานร่วมกันสามารถให้กำลังได้สูงสุดถึง 223 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT 6 สปีด ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ แบบธรรมดา (Normal), สปอร์ต(Sport), สปอร์ต พลัส (Sport +) อีโค (Eco) และแบบ EV โหมด
...อาจจะเหมือนเรื่องเก่าเล่าใหม่สำหรับการเลือกโหมดการขับขี่ แต่กระนั้นก็คงต้องย้ำกันทุกครั้งครับ เพราะโหมดต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นประเด็นขายของรถ และน่าจะเป็นออปชันที่ได้ใช้งาน(จริง) บ่อยอยู่เหมือนกัน
ไล่ไปที่ละโหมดนะครับ อย่าง EV นี่อาจจะไม่ได้อยู่รวมกับ Drive Mode Select ที่ใช้มือหมุนเลือกรูปแบบการขับขี่ เพราะเจ้าปุ่มนี้จะถูกแยกออกมาต่างหาก ซึ่ง EV โหมด หรือการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ ไม่พึ่งกำลังของเครื่องยนต์ จะสามารถวิ่งได้บนความเร็ว ถึง 55 กม./ชม. กับระยะทาง 2 กิโลเมตร ซึ่งจะได้ใช้โหมดนี้หรือไม่ และวิ่งได้ใกล้ไกลขนาดไหนต้องขึ้นอยู่กับปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่แบบ นิเกิลเมทัลไฮดรายด้วย
ส่วนโหมดอีโคก็ตามชื่อครับ และก็เหมือนกับ อีโคของรถยนต์รุ่นอื่นๆ คือ จะช่วยให้ผู้ขับประหยัดน้ำมันได้สูงสุด จากการจัดการระบบพลังงานในรถยนต์ ทั้งระบบ (พัดลม) แอร์ ที่เอาแค่ฉ่ำกำลังดี พร้อมการตอบสนองของคันเร่ง ที่จะไม่จี๊ดจ๊าดมาก ซึ่งขับในโหมดนี้ก็จะเหมือนรถอืดนิดๆ ละครับ
ส่วนในโหมดธรรมดา เป็นบุคลิกพื้นฐานของ IS300h ที่ผู้เขียนว่าการตอบสนองของระบบไฮบริด ทำได้ดีพอสมควร ทั้งอัตราเร่ง ที่เครื่องยนต์ จะได้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า มาเสริมช่วย ซึ่งการผสานของขุมพลังลูกผสมนี้ ยังเนียน ลื่น ขับขี่ได้เพลินๆ
อย่างไรก็ตามช่วงล่างออกแนวนุ่มไปนิดครับ โดยด้านหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ หลังเป็นแมคเฟอร์สันสตรัท ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยาง 225/45 R17 รองรับการขับขี่ในเมืองสบาย ซับแรงจากพื้นถนนได้ดี วิ่งทางไกลยังนิ่ง ขณะที่พวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า เซ็ทน้ำหนักมาสมดุล ควบคุมได้แม่นยำ
เหนืออื่นใดถ้าอยากได้ช่วงล่างที่หนึบหนับ หวังขับความเร็วสูง พร้อมพวงมาลัยที่หนืดหน่วงขึ้นมาอีกนิดต้องไปที่ สปอร์ต พลัส ครับ ย้ำว่าสปอร์ต พลัสนะครับ ถึงจะได้อารมณ์แบบ เต็มๆ เพราะถ้าเลือกเพียงโหมดสปอร์ต รถจะจัดการเรื่องการตอบสนองของเครื่องยนต์ให้เร้าใจขึ้นเท่านั้น ยังไม่ได้เข้ามาจัดการที่แฮนด์ลิง และระบบช่วงล่าง
ขณะเดียวกันเลกซัสยังมีลูกเล่นที่หน้าปัดแสดงผล โดยวงด้านซ้ายจะเป็นเข็มวัดระดับความเร็วแบบอะนาลอก แต่วงด้านขวาจะเป็นแบบดิจิตอล ซึ่งการขับในโหมดธรรมดา จะแสดงผลเป็นการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า ว่า กำลังใช้กำลังไฟ (Power) หรือกำลังชาร์จพลังกลับเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ (Charge) แต่ถ้าคุณเลือกโหมดสปอร์ต หน้าจอดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นภาพแสดงการวัดผลของรอบเครื่องยนต์ เหมือนรถทั่วๆ ไป
ดูเพลินเล่นสนุกดีกับออปชันพวกนี้ แต่กระนั้นผู้เขียนก็ไม่ลืมสังเกต รอบของเครื่องยนต์ที่ความเร็วนิ่งๆ ระดับ 120 กม./ชม. อยู่ไม่ถึง 2,000 รอบครับ หรือน่าจะแถวๆ 1,800 รอบ และนี่ละครับแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของระบบไฮบริดได้เป็นอย่างดี ว่าเครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานหนักแบกภาระอยู่ผู้เดียว เพราะจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเป็นเพื่อนช่วยแบ่งเบา ซึ่งจะช่วยทั้งเรื่องอัตราบริโภคน้ำมัน ลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ (แต่ไปมีภาระที่มอเตอร์ไฟฟ้ากับแบตเตอรี่แทน) พร้อมยังรักษาสมรรถนะการขับขี่ในระดับที่ผู้ขับต้องการเอาไว้
ทั้งนี้เลกซัส แจ้งว่า IS250S สามารถวิ่งทำความเร็วได้สูงสุดถึง 200 กม./ชม. อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 8.5 วินาที พร้อมเคลมอัตราบริโภคน้ำมันไว้ 20.4 กม./ลิตร ขณะที่การทดสอบของผู้เขียนยังเห็นตัวเลข 16-17 กม./ลิตร สบายๆ
ในส่วนการออกแบบภายในมากับแนวเรียบหรู แผงคอนโซล เบาะนั่ง เก็บงานละเอียด เนี้ยบปราณีต เรื่องของออปชันการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆใช้งานง่ายครับ ควบคุมผ่านพวงมาลัย และบริเวณคอนโซลกลาง และไปดูหน้าจอแสดงผลได้หน้าจอสีขนาด 7 นิ้วบนแผงแดชบอร์ดหน้า หรือจะไปดูที่เมนูย่อยที่แสดงผลระหว่าง เรือนไมล์วัดความเร็วด้านหน้าก็ได้
การเก็บเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารต้องบอกว่า เทียบชั้นรถหรูยุโรป อย่าง ซีรีย์ 3 และซี-คลาสได้สบาย ยิ่งเป็นระบบไฮบริดที่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบ จนไม่รู้สึกว่ามีเครื่องยนต์อยู่แล้วละครับ
….อีกจุดที่ต้องชมและผู้เขียนว่าให้ความรู้สึกดี นั่นคือการตอบสนองของแป้นเบรก เพราะโดยปกติรถไฮบริดจะเป็นเบรกไฟฟ้า ไม่มีหม้อลมเบรก และอาศัยการจำลองแรงต้านของเบรก ส่งผลให้การเหยียบเบรกดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และให้ความรู้สึกที่แปลกๆไป แต่ไม่ใช่กับ IS300h ที่ให้สัมผัส แน่น มั่นใจ ระยะชะลอหยุดแม่นยำ แถมนุ่มนวลไม่มีอาการหน้าทิ่มหัวจิก
สำหรับเบรกของ IS300h เป็นดิสก์ทั้งสี่ล้อ มาพร้อมกับระบบ VDIM (Vehicle Dynamics Integrated Management) ระบบจัดการรวมไดนามิคที่เป็นพ่อใหญ่ในการควบคุม Traction Control ระบบป้องกันการลื่นไถล ระบบVSC ควบคุมการทรงตัว ตลอดจนระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ให้ประสานประสิทธิภาพได้ความปลอดภัยสูงสุด ขณะเดียวกันยังติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า,หัวเข่า,ด้านข้าง และม่านถุงลมมาให้รวม 8 ใบ (รุ่นLuxury package จะเสริมถุงลมด้านข้างสำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้อีกฝั่งละใบ)
สำหรับ IS300h ที่ผู้เขียนนำมาลองขับเป็นแบบLuxury packageราคา 2.99 ล้านบาท แต่รุ่น Premium packageราคา 3.49 ล้านบาท จะเพิ่มออปชัน อาทิ ไฟหน้าแบบLED (Luxury package เป็น HID) ระบบปัดน้ำฝนแบบมีเซ็นเซอร์อัตโนมัติ ม่านบังแดดหลัง ระบบบันทึกตำแหน่งเบาะนั่ง (Memory seat) ระบบเนวิเกเตอร์พร้อมแสดงข้อมูลการจราจรแบบรีลไทม์ รวมถึงปุ่มควบคุมแบบเมาส์หรือ Remote Touch Interface (RTI)
รวบรัดตัดความ…รักไม่ยุ่ง ไม่มุ่งดีเซล เลกซัส ประเทศไทยเน้นทำตลาดไฮบริดชัดเจน ด้วยเทคโนโลยี และสมรรถนะที่ถึงวันนี้พัฒนาไปเทียบเท่าแบรนด์หรูจากยุโรป ซึ่ง IS300h ใหม่ นับเป็นสปอร์ตไฮบริด ที่ตอบสนองครบทุกความต้องการ แต่ทว่า BMW 320d ก็ขับดี ออปชันเพียบ ประหยัดน้ำมันเป็นเลิศ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน…ตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ!!!